แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. กำลังพิจารณาแก้ไขร่าง พรบ.ธปท. ให้สามารถรับฝากเงินจาก ธ.พาณิชย์และจ่าย
ดอกเบี้ยได้ด้วย นางสุชาดา กิระกุล ผอส.ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวถึงการแก้ไขร่าง พรบ. ธปท.
ว่า ธปท. กำลังพิจารณาให้มีการเพิ่มขอบเขตหน้าที่ของ ธปท. ให้สามารถรับฝากเงินจาก ธ.พาณิชย์โดยสามารถ
จ่ายดอกเบี้ยได้ด้วย เพื่อเพิ่มเครื่องมือในการดูแลสภาพคล่องให้มีทางเลือกในการดำเนินนโยบายการเงินได้คล่อง
ตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แนวคิดที่จะออกเครื่องมือดังกล่าวไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการเร่งดูดซับสภาพคล่องแต่อย่าง
ใด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเครื่องมือการดูแลสภาพคล่องในระบบยังมีข้อจำกัดในการบริหารสภาพคล่อง เช่น การ
ทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (สว็อป) หรือการออกพันธบัตร ธปท. ในเวลาที่ตลาดไม่มีความต้องการ
ทำให้ ธปท. ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยสูง หรือการทำสว็อปในปริมาณมากจะมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อนค่าหรือแข็ง
ค่า นอกจากนี้ หากต้องการดูดซับสภาพคล่องผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน (อาร์/พี) ธปท. จะต้องมี
พันธบัตรรัฐบาลรองรับด้วย แต่หาก ธปท. ไม่มีพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในมือก็ต้องไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากตลาดรอง
ซึ่งเป็นการเพิ่มสภาพคล่องในระบบ นอกจากนี้ การออกพันธบัตร ธปท. จะต้องขออนุมัติวงเงินจาก ก.คลังไว้ล่วง
หน้า แต่บางครั้งวงเงินที่ขอไว้หมดหรือไม่เพียงพอก็จะทำให้การดูแลสภาพคล่องไม่คล่องตัว แต่ทั้งนี้ การออก
เครื่องมือใหม่ไม่จำเป็นว่า ธปท. จะต้องรับฝากเงินจาก ธ.พาณิชย์ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของ
สถานการณ์ที่จะใช้วิธีการดูแลสภาพคล่องด้วยเครื่องมือใด หรือใช้หลายเครื่องมือร่วมกัน โดยอัตราดอกเบี้ยที่
ธปท. รับฝากเงินจาก ธ.พาณิชย์จะใช้อัตราดอกเบี้ยตลาดเป็นตัวกำหนด (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
2. สัดส่วนทุนสำรองต่อหนี้ระยะสั้นลดลง แต่อยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพแข็งแกร่ง นางสุชาดา กิระ
กุล ผอส.ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรกของปี 48 ไทยมีหนี้ต่างประเทศคงค้างทั้งสิ้น
4.87 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากสิ้นปี 47 ที่มีอยู่จำนวน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเมื่อพิจารณาโครง
สร้างหนี้ต่างประเทศทั้งหมดพบว่า หนี้ดังกล่าวเป็นสัดส่วนหนี้ระยะสั้นร้อยละ 29.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27.5 ใน
เดือนก่อนหน้า มีผลให้สัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 3.4 เท่าของหนี้ระยะสั้น ซึ่งเป็นระดับที่ลดลงจากช่วง
ไตรมาสแรกของปีก่อนที่ทุนสำรองฯ เคยเป็นสัดส่วน 4.2 เท่าของหนี้ระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แม้สัดส่วนทุนสำรอง
ต่อหนี้ระยะสั้นจะปรับลดลง แต่เป็นระดับที่สะท้อนถึงเสถียรภาพต่างประเทศที่ยังแข็งแกร่งพอรับได้ เพราะหนี้ระยะ
สั้นที่เพิ่มขึ้นมาจากสินเชื่อของภาคการค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อจากสินค้าน้ำมันที่ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจากการกู้ยืม
อนึ่ง สัดส่วนทุนสำรองฯ ต่อหนี้ระยะสั้นที่ทั่วโลกมองว่าเริ่มมีความเสี่ยงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1 เท่า แต่สำหรับ
ประเทศไทยหากดูแลอย่างเข้มงวดแม้สัดส่วนดังกล่าวจะลดลงอยู่ที่ 2 เท่า ก็ยังถือเป็นระดับที่ปลอดภัย (มติชน)
3. สภาพคล่องในระบบลดลงต่อเนื่อง แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังรัฐปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ นางนิ
ตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินที่แท้จริงใน
ระบบเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ล่าสุดที่มีจำนวนมากขึ้นเล็กน้อยในเวลาอันสั้นมีสาเหตุจากภาครัฐมีคำสั่งปรับขึ้นเงิน
เดือนข้าราชการ ซึ่งเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นจะต้องจ่ายผ่าน ธ.พาณิชย์ของรัฐจึงต้องโอนเข้าไปฝากไว้ก่อน ทำให้เกิด
สภาพคล่องส่วนเกินเข้ามาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง แต่เม็ดเงินดังกล่าวเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากเมื่อถึงเวลา
จ่ายเงินเดือนก็จะทำให้สภาพคล่องส่วนเกินลดลง (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
4. เงินเฟ้อ ส.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 82 เดือน นายการุณ กิตติสถาพร ปลัด ก.พาณิชย์
เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปหรือเงินเฟ้อเดือน ส.ค.ว่า อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 111.2 ซึ่งหากเปรียบเทียบ
กับเดือน ส.ค.ปีก่อน เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 5.6 เป็นอัตราสูงสุดในรอบ 82 เดือน โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันที่
เพิ่มขึ้น เพราะปีที่แล้วยังอยู่ในช่วงการตรึงราคาน้ำมัน ขณะที่เปรียบเทียบกับเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 และ
เงินเฟ้อเฉลี่ย 8 เดือน เทียบกับช่วงเดียวกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 โดยดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ดัชนีราคาหมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ทั้งนี้ คาดว่าอีก 4-5 เดือน
เงินเฟ้อจะลดลงขยายตัวประมาณร้อยละ 0.7-0.8 ทำให้เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 4.0-4.2 จากเดิมที่คาดการณ์
ไว้ที่ร้อยละ 3.8-4.2 โดยสมมติฐานของราคาน้ำมันดิบดูไบทั้งปีอยู่ที่ระดับ 50-52 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล
จากเฉลี่ย 8 เดือนแรกอยู่ที่ระดับ 47 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ
เดือน ส.ค. เท่ากับ 102.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือน ก.ค. แต่หากเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 2.3 และอัตราเฉลี่ย 8 เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. Global PMI ในเดือน ส.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ 52.2 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 1 ก.
ย.48 JP Morgan ร่วมกับองค์กรด้านการวิจัยและการบริหารการสั่งซื้อ เปิดเผยว่า Global Purchase
Manager Index (PMI) ในเดือน ส.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ 52.2 จากระดับ 53.4 ในเดือนก่อน แต่ยังคงอยู่
เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัว ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวได้จากการรวบรวมข้อมูลจาก
20 ประเทศทั่วโลก เช่น สรอ. ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ผอ.global
economics co-ordination ของ JP Morgan กล่าวว่า global PMI แสดงให้เห็นว่า ผลผลิตอุตสาหกรรม
การผลิตในเดือน ส.ค.แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ระดับราคาน้ำมันที่ทะยานสูงขึ้นในขณะนี้ส่งผลกระทบ
ต่อการเติบโตด้านความต้องการสินค้าและผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเป็นข้อจำกัดแรกต่อการขยายตัว
ของผลผลิตโรงงานใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ แม้ว่าสินค้าคงคลังจะมีจำนวนไม่มากก็ตาม สำหรับดัชนีผลผลิตใน
เดือน ส.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ 54.1 จากระดับ 56.1 ในเดือนก่อน นอกจากนี้ ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ในเดือน ส.
ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ 54.0 จากระดับ 55.6 ในเดือนก่อน ส่วนดัชนีการจ้างงานก็ลดลงอยู่ที่ระดับ 50.3
จากระดับ 50.6 ในเดือน ก.ค.48 แต่ธุรกิจก็ยังคงมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ดัชนีจะอยู่ในระดับต่ำก็
ตาม โดยเห็นได้จากการจ้างงานใน สรอ.และญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ส่วนในเขตเศรษฐกิจยุโรป อังกฤษ และจีนลดลง
(รอยเตอร์)
2. ธ.กลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.0 ต่อปีตามที่คาดไว้ รายงานจากแฟรง
ค์เฟริท์ เมื่อ 1 ก.ย.48 ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.0 ต่อปีตามที่
คาดไว้ โดยไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.46 ในขณะเดียวกัน ECB ก็กำลังเฝ้าจับตาดูผล
กระทบของราคาน้ำมันที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศสมาชิก 12 ประเทศในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro
zone ซึ่งใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักอย่างใกล้ชิด โดย ECB ตั้งเป้าหมายที่จะรักษาระดับเงินเฟ้อของ Euro
zone ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าแต่ใกล้เคียงร้อยละ 2.0 ต่อปี ทั้งนี้ ECB ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อของ
Euro zone ในปีนี้จากร้อยละ 2.0 ต่อปีเป็นร้อยละ 2.2 ต่อปี และปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อของปีหน้า
จากร้อยละ 1.5 ต่อปีเป็นร้อยละ 1.9 ต่อปี โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นถึงร้อยละ 34 จากประมาณการ
อัตราเงินเฟ้อครั้งก่อนเมื่อเดือน มิ.ย.48 (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของเกาหลีใต้ในไตรมาส 2 ปี 48 ขยายตัวร้อยละ 1.2 เทียบต่อไตรมาส รายงานโซล
เมื่อ 2 ก.ย.48 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของเกาหลีใต้ที่ทบทวนแล้วในไตร
มาส 2 ปี 48 ขยายตัวร้อยละ 1.2 เทียบต่อไตรมาส (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากที่
รายงานไว้ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ค.48 และหากเทียบต่อปีขยายตัวร้อยละ 3.3 ขณะที่ในไตรมาสแรกขยายตัว
ร้อยละ 0.4 เทียบต่อไตรมาส ซึ่งเคยขยายตัวสูงสุดที่ร้อยละ 2.8 ในไตรมาส 4 ปี 46 และเทียบต่อปีขยายตัว
ร้อยละ 2.7 ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ทบทวนอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นในหลาย ๆ ภาค รวมถึงภาคการก่อสร้าง
และการใช้จ่ายภาคเอกชน เช่น ภาคการก่อสร้างขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 จากที่เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่าขยาย
ตัวร้อยละ 4.2 ส่วนการใช้จ่ายภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 1.4 จากร้อยละ 1.2 เป็นต้น (รอยเตอร์)
4. เดือน ส.ค.48 การส่งออกของเกาหลีใต้ขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน รายงานจากโซลเมื่อ
1 ก.ย.48 ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ส.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 สูงสุดใน
รอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ย.47 แม้ว่าการส่งออกไปยัง สรอ.จะชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และเป็น
การขยายตัวเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 ทั้งนี้ การส่งออกที่ขยายตัว
เพิ่มขึ้นนับเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่สำรวจโดย ธ.
กลางเกาหลีใต้ ซึ่งพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ธุรกิจในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 85 จากระดับ 78
ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสัญญาณที่แสดงถึงทิศทางตรงข้าม ได้แก่ ความต้องการภายในประเทศซึ่งยัง
ไม่แสดงสัญญาณการฟื้นตัว โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ส.ค.48 ขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.
ค.43 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 1.1 และเป็นการขยายตัวในระดับต่ำมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว รวมถึงการนำเข้าใน
เดือน ส.ค.48 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 สูงสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ย.47 ซึ่งขยายตัวที่ระดับร้อยละ
28.9 สาเหตุจากต้นทุนการนำเข้าน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 2 ก.ย. 48 1 ก.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.163 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.9877/41.2793 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.88389 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 710.28/ 28.90 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,600/8,700 8,500/8,600 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 59.68 58.33 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.54*/23.39* 26.54*/23.39* 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 29 ส.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. กำลังพิจารณาแก้ไขร่าง พรบ.ธปท. ให้สามารถรับฝากเงินจาก ธ.พาณิชย์และจ่าย
ดอกเบี้ยได้ด้วย นางสุชาดา กิระกุล ผอส.ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวถึงการแก้ไขร่าง พรบ. ธปท.
ว่า ธปท. กำลังพิจารณาให้มีการเพิ่มขอบเขตหน้าที่ของ ธปท. ให้สามารถรับฝากเงินจาก ธ.พาณิชย์โดยสามารถ
จ่ายดอกเบี้ยได้ด้วย เพื่อเพิ่มเครื่องมือในการดูแลสภาพคล่องให้มีทางเลือกในการดำเนินนโยบายการเงินได้คล่อง
ตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แนวคิดที่จะออกเครื่องมือดังกล่าวไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการเร่งดูดซับสภาพคล่องแต่อย่าง
ใด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเครื่องมือการดูแลสภาพคล่องในระบบยังมีข้อจำกัดในการบริหารสภาพคล่อง เช่น การ
ทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (สว็อป) หรือการออกพันธบัตร ธปท. ในเวลาที่ตลาดไม่มีความต้องการ
ทำให้ ธปท. ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยสูง หรือการทำสว็อปในปริมาณมากจะมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อนค่าหรือแข็ง
ค่า นอกจากนี้ หากต้องการดูดซับสภาพคล่องผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน (อาร์/พี) ธปท. จะต้องมี
พันธบัตรรัฐบาลรองรับด้วย แต่หาก ธปท. ไม่มีพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในมือก็ต้องไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลจากตลาดรอง
ซึ่งเป็นการเพิ่มสภาพคล่องในระบบ นอกจากนี้ การออกพันธบัตร ธปท. จะต้องขออนุมัติวงเงินจาก ก.คลังไว้ล่วง
หน้า แต่บางครั้งวงเงินที่ขอไว้หมดหรือไม่เพียงพอก็จะทำให้การดูแลสภาพคล่องไม่คล่องตัว แต่ทั้งนี้ การออก
เครื่องมือใหม่ไม่จำเป็นว่า ธปท. จะต้องรับฝากเงินจาก ธ.พาณิชย์ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของ
สถานการณ์ที่จะใช้วิธีการดูแลสภาพคล่องด้วยเครื่องมือใด หรือใช้หลายเครื่องมือร่วมกัน โดยอัตราดอกเบี้ยที่
ธปท. รับฝากเงินจาก ธ.พาณิชย์จะใช้อัตราดอกเบี้ยตลาดเป็นตัวกำหนด (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
2. สัดส่วนทุนสำรองต่อหนี้ระยะสั้นลดลง แต่อยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพแข็งแกร่ง นางสุชาดา กิระ
กุล ผอส.ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรกของปี 48 ไทยมีหนี้ต่างประเทศคงค้างทั้งสิ้น
4.87 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากสิ้นปี 47 ที่มีอยู่จำนวน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเมื่อพิจารณาโครง
สร้างหนี้ต่างประเทศทั้งหมดพบว่า หนี้ดังกล่าวเป็นสัดส่วนหนี้ระยะสั้นร้อยละ 29.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27.5 ใน
เดือนก่อนหน้า มีผลให้สัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 3.4 เท่าของหนี้ระยะสั้น ซึ่งเป็นระดับที่ลดลงจากช่วง
ไตรมาสแรกของปีก่อนที่ทุนสำรองฯ เคยเป็นสัดส่วน 4.2 เท่าของหนี้ระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แม้สัดส่วนทุนสำรอง
ต่อหนี้ระยะสั้นจะปรับลดลง แต่เป็นระดับที่สะท้อนถึงเสถียรภาพต่างประเทศที่ยังแข็งแกร่งพอรับได้ เพราะหนี้ระยะ
สั้นที่เพิ่มขึ้นมาจากสินเชื่อของภาคการค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อจากสินค้าน้ำมันที่ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจากการกู้ยืม
อนึ่ง สัดส่วนทุนสำรองฯ ต่อหนี้ระยะสั้นที่ทั่วโลกมองว่าเริ่มมีความเสี่ยงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1 เท่า แต่สำหรับ
ประเทศไทยหากดูแลอย่างเข้มงวดแม้สัดส่วนดังกล่าวจะลดลงอยู่ที่ 2 เท่า ก็ยังถือเป็นระดับที่ปลอดภัย (มติชน)
3. สภาพคล่องในระบบลดลงต่อเนื่อง แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังรัฐปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ นางนิ
ตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณสภาพคล่องส่วนเกินที่แท้จริงใน
ระบบเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ล่าสุดที่มีจำนวนมากขึ้นเล็กน้อยในเวลาอันสั้นมีสาเหตุจากภาครัฐมีคำสั่งปรับขึ้นเงิน
เดือนข้าราชการ ซึ่งเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นจะต้องจ่ายผ่าน ธ.พาณิชย์ของรัฐจึงต้องโอนเข้าไปฝากไว้ก่อน ทำให้เกิด
สภาพคล่องส่วนเกินเข้ามาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง แต่เม็ดเงินดังกล่าวเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากเมื่อถึงเวลา
จ่ายเงินเดือนก็จะทำให้สภาพคล่องส่วนเกินลดลง (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
4. เงินเฟ้อ ส.ค.48 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 82 เดือน นายการุณ กิตติสถาพร ปลัด ก.พาณิชย์
เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปหรือเงินเฟ้อเดือน ส.ค.ว่า อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 111.2 ซึ่งหากเปรียบเทียบ
กับเดือน ส.ค.ปีก่อน เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 5.6 เป็นอัตราสูงสุดในรอบ 82 เดือน โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันที่
เพิ่มขึ้น เพราะปีที่แล้วยังอยู่ในช่วงการตรึงราคาน้ำมัน ขณะที่เปรียบเทียบกับเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 และ
เงินเฟ้อเฉลี่ย 8 เดือน เทียบกับช่วงเดียวกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 โดยดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 ดัชนีราคาหมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ทั้งนี้ คาดว่าอีก 4-5 เดือน
เงินเฟ้อจะลดลงขยายตัวประมาณร้อยละ 0.7-0.8 ทำให้เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 4.0-4.2 จากเดิมที่คาดการณ์
ไว้ที่ร้อยละ 3.8-4.2 โดยสมมติฐานของราคาน้ำมันดิบดูไบทั้งปีอยู่ที่ระดับ 50-52 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล
จากเฉลี่ย 8 เดือนแรกอยู่ที่ระดับ 47 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ
เดือน ส.ค. เท่ากับ 102.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือน ก.ค. แต่หากเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 2.3 และอัตราเฉลี่ย 8 เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. Global PMI ในเดือน ส.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ 52.2 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 1 ก.
ย.48 JP Morgan ร่วมกับองค์กรด้านการวิจัยและการบริหารการสั่งซื้อ เปิดเผยว่า Global Purchase
Manager Index (PMI) ในเดือน ส.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ 52.2 จากระดับ 53.4 ในเดือนก่อน แต่ยังคงอยู่
เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัว ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวได้จากการรวบรวมข้อมูลจาก
20 ประเทศทั่วโลก เช่น สรอ. ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ผอ.global
economics co-ordination ของ JP Morgan กล่าวว่า global PMI แสดงให้เห็นว่า ผลผลิตอุตสาหกรรม
การผลิตในเดือน ส.ค.แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ระดับราคาน้ำมันที่ทะยานสูงขึ้นในขณะนี้ส่งผลกระทบ
ต่อการเติบโตด้านความต้องการสินค้าและผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเป็นข้อจำกัดแรกต่อการขยายตัว
ของผลผลิตโรงงานใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ แม้ว่าสินค้าคงคลังจะมีจำนวนไม่มากก็ตาม สำหรับดัชนีผลผลิตใน
เดือน ส.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ 54.1 จากระดับ 56.1 ในเดือนก่อน นอกจากนี้ ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ในเดือน ส.
ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ 54.0 จากระดับ 55.6 ในเดือนก่อน ส่วนดัชนีการจ้างงานก็ลดลงอยู่ที่ระดับ 50.3
จากระดับ 50.6 ในเดือน ก.ค.48 แต่ธุรกิจก็ยังคงมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ดัชนีจะอยู่ในระดับต่ำก็
ตาม โดยเห็นได้จากการจ้างงานใน สรอ.และญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ส่วนในเขตเศรษฐกิจยุโรป อังกฤษ และจีนลดลง
(รอยเตอร์)
2. ธ.กลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.0 ต่อปีตามที่คาดไว้ รายงานจากแฟรง
ค์เฟริท์ เมื่อ 1 ก.ย.48 ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.0 ต่อปีตามที่
คาดไว้ โดยไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.46 ในขณะเดียวกัน ECB ก็กำลังเฝ้าจับตาดูผล
กระทบของราคาน้ำมันที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศสมาชิก 12 ประเทศในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro
zone ซึ่งใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักอย่างใกล้ชิด โดย ECB ตั้งเป้าหมายที่จะรักษาระดับเงินเฟ้อของ Euro
zone ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าแต่ใกล้เคียงร้อยละ 2.0 ต่อปี ทั้งนี้ ECB ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อของ
Euro zone ในปีนี้จากร้อยละ 2.0 ต่อปีเป็นร้อยละ 2.2 ต่อปี และปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อของปีหน้า
จากร้อยละ 1.5 ต่อปีเป็นร้อยละ 1.9 ต่อปี โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นถึงร้อยละ 34 จากประมาณการ
อัตราเงินเฟ้อครั้งก่อนเมื่อเดือน มิ.ย.48 (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของเกาหลีใต้ในไตรมาส 2 ปี 48 ขยายตัวร้อยละ 1.2 เทียบต่อไตรมาส รายงานโซล
เมื่อ 2 ก.ย.48 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) ของเกาหลีใต้ที่ทบทวนแล้วในไตร
มาส 2 ปี 48 ขยายตัวร้อยละ 1.2 เทียบต่อไตรมาส (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากที่
รายงานไว้ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ค.48 และหากเทียบต่อปีขยายตัวร้อยละ 3.3 ขณะที่ในไตรมาสแรกขยายตัว
ร้อยละ 0.4 เทียบต่อไตรมาส ซึ่งเคยขยายตัวสูงสุดที่ร้อยละ 2.8 ในไตรมาส 4 ปี 46 และเทียบต่อปีขยายตัว
ร้อยละ 2.7 ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ทบทวนอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นในหลาย ๆ ภาค รวมถึงภาคการก่อสร้าง
และการใช้จ่ายภาคเอกชน เช่น ภาคการก่อสร้างขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 จากที่เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่าขยาย
ตัวร้อยละ 4.2 ส่วนการใช้จ่ายภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 1.4 จากร้อยละ 1.2 เป็นต้น (รอยเตอร์)
4. เดือน ส.ค.48 การส่งออกของเกาหลีใต้ขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน รายงานจากโซลเมื่อ
1 ก.ย.48 ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ส.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 สูงสุดใน
รอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ย.47 แม้ว่าการส่งออกไปยัง สรอ.จะชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และเป็น
การขยายตัวเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 ทั้งนี้ การส่งออกที่ขยายตัว
เพิ่มขึ้นนับเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่สำรวจโดย ธ.
กลางเกาหลีใต้ ซึ่งพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ธุรกิจในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 85 จากระดับ 78
ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสัญญาณที่แสดงถึงทิศทางตรงข้าม ได้แก่ ความต้องการภายในประเทศซึ่งยัง
ไม่แสดงสัญญาณการฟื้นตัว โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ส.ค.48 ขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.
ค.43 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 1.1 และเป็นการขยายตัวในระดับต่ำมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว รวมถึงการนำเข้าใน
เดือน ส.ค.48 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 สูงสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ย.47 ซึ่งขยายตัวที่ระดับร้อยละ
28.9 สาเหตุจากต้นทุนการนำเข้าน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 2 ก.ย. 48 1 ก.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.163 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.9877/41.2793 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.88389 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 710.28/ 28.90 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,600/8,700 8,500/8,600 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 59.68 58.33 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.54*/23.39* 26.54*/23.39* 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 29 ส.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--