แท็ก
ประธานสภา
สรุปการประชุมสภานิติบัญัติแห่งชาติ
วันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐
-----------------------------
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๑/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐ เริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑๓.๓๕ นาฬิกา โดยมี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุม เมื่อครบองค์ประชุม ประธานได้ดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระ ดังนี้
๑. เรื่องที่ประธานจะแจ้งต่อที่ประชุม
คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ฉบับที่ พ.ศ. …. ตามที่สภาส่งไปเพื่อดำเนินการแล้ว และเห็นชอบให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป
๒. รับรองรายงานการประชุม
- รับรองรายงานการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ครั้งที่ ๒/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๔/๒๕๕๐ วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๕/๒๕๕ วันพุธที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๖/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๗/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๘/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๙/๒๕๕๐ วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ต่อจากนั้น ประธานได้ขอหารือต่อที่ประชุมในเรื่องการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๐ สภาร่างรัฐธรรมนูญจะนำส่งร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกมาให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อขอความเห็นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีระยะเวลาในการพิจารณา
ส่งความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ๓๐ วัน ซึ่งตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ข้อที่ ๑๓๐ กำหนดว่า เมื่อได้รับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ให้ส่งไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญการปฏิรูปการเมืองเป็นการด่วน และให้คณะกรรมาธิการพิจารณาและรายงานต่อสภาภายใน ๗ วัน โดยประธานเห็นว่าระยะเวลา ๗ วันนั้นสั้นมาก รวมทั้งยังมีประเด็นต่าง ๆ ที่สมาชิกต้องการนำเสนออีกเป็นจำนวนมาก จึงขอ ยกเว้นข้อบังคับเพื่อขยายเวลาออกไป ๑๕ วัน และเมื่อครบ ๑๕ วันแล้ว จะนำกลับเข้าสภาภายใน ๗ วัน ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ วันที่ครบกำหนด ๑๕ วัน คือวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่คณะกรรมาธิการจะต้องส่งร่างรัฐธรรมนูญพร้อมประเด็นต่าง ๆ ที่เห็นว่าควรแก้ไขมาให้ เพื่อบรรจุเข้าวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยจะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมได้ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐
ที่ประชุมเห็นชอบตามที่เสนอ
เรื่องด่วน
๑. ร่างพระราชบัญญัติศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. …. ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ขอถอนร่าง พระราชบัญญัตินี้ออกไป เพื่อพิจารณาทบทวนเพิ่มเติมในบางประเด็น
๒. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ซึ่งคณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ และได้มีร่างพระราชบัญญัติในทำนองเดียวกัน ของนายสมชาย
สกุลสุรรัตน์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ จึงได้นำมาพิจารณาในคราวเดียวกัน
นางอรนุช โอสถานนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ชี้แจงถึงหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
หลักการ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒
ดังต่อไปนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่าคนต่างด้าว ให้หมายรวมถึงนิติบุคคล ซึ่งจดทะเบียน
ในประเทศไทย ที่คณะต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตั้งแต่กึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงที่มีสิทธิ
ออกเสียงทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่าคนต่างด้าวในมาตรา ๔
๒. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แก้ไข
เพิ่มเติมมาตรา ๒๓
๓. เพิ่มอัตราโทษปรับ และอัตราโทษจำคุกแก่ผู้กระทำความผิดจากมาตรา ๓๕ มาตรา
๓๖ และมาตรา ๓๗
๔. แก้ไขเพิ่มเติมให้กรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล
ผู้กระทำความผิด ซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้น หรือมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกัน
มิให้เกิดความผิดนั้น ต้องรับโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นด้วย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๑
๕. แก้ไขเพิ่มเติมบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น แก้ไขเพิ่มเติม
(๑๓) (๑๔) (๑๕) และ (๒๑) และยกเลิก (๑๘) ของบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติ
เหตุผล
โดยที่ปัจจุบันมีกรณีที่คนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจที่สงวนไว้ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ ผ่านนิติบุคคล ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย โดย หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมาย ด้วยการให้นิติบุคคลดังกล่าวออกหุ้นชนิดที่คนต่างด้าวมีสิทธิ ออกเสียงได้มากขึ้น หรือออกหุ้นชนิดที่คนไทยมีสิทธิออกเสียงได้น้อยลง อีกทั้งองค์ประกอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไม่เอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ และอัตราโทษที่จะลงโทษคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจสงวนโดยไม่ได้รับอนุญาตินั้นอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ไม่เกิดความเกรงกลัวกฎหมาย นอกจากนี้การกำหนดธุรกิจบางประเภทไว้ในบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติไม่เหมาะสมกับปัจจุบัน จึงสมควรปรับปรุงบทนิยามคำว่าคนต่างด้าวให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมนิติบุคคล ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยที่คนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตั้งแต่กึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และเพิ่มอัตราโทษปรับและอัตราโทษจำคุกแก่ผู้ประกอบธุรกิจสงวนโดยไม่ได้รับอนุญาตให้สูงขึ้น รวมทั้งปรับปรุงกรรมการและหุ้นส่วนหรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลผู้กระทำความผิด ซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้น หรือมิได้จัดการตามสมควร เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นต้องรับโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น และแก้ไขเพิ่มเติมบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ชี้แจงหลักการและ
เหตุผลว่า ร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้จะช่วย ขจัดความไม่แน่นอน ซึ่งนักลงทุนถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ และจะเกิดประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ มีความคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากบทบัญญัติที่แตกต่างกันระหว่างร่างของสมาชิกกับร่างของรัฐบาลนั้นได้รับการแก้ไขโดยคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วเป็นส่วนใหญ่
จากนั้นที่ประชุมได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง และได้ตั้งข้อสังเกตว่า บทนิยามของ ”คนต่างด้าว” ยังแก้ไขไม่ครอบคลุมและร่างดังกล่าวยังมีช่องโหว่ จึงขอเสนอให้ชาวต่างชาติที่จะมา ลงทุนในประเทศไทยต้องขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้มีประวัติและสถิติของทางราชการ อีกทั้งเสนอให้เปลี่ยนชื่อกฎหมายดังกล่าว เพราะชื่อร่างพระราชบัญญัติจะทำให้นักลงทุนต่างด้าว ไม่กล้ามาลงทุน โดยให้หลีกเลี่ยงประเด็นหรือข้อความที่ว่า “ควบคุมประกอบธุรกิจคนต่างด้าว” รวมทั้งขอให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญและกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด
นางอรนุช โอสถานนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ตอบชี้แจงว่า
ร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ มีความใกล้เคียงกันมาก มีแต่เพียงรายละเอียดที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย และเหตุผลที่เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้เนื่องจากเห็นช่องโหว่ของกฎหมายและต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามหลักธรรมาภิบาลด้วยความโปร่งใสและเสมอภาค สำหรับปัญหาของคำนิยามนั้น ได้มีการเพิ่มคำนิยามของการออกเสียงเข้าไปแล้ว ซึ่งถือเป็นการควบคุมอีกทางหนึ่งได้ด้วย ทั้งนี้การแก้ไขร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นอำนาจของรัฐบาลไทย ซึ่งไม่ได้เป็นการละเมิดพันธะกรณีต่อต่างประเทศ และไม่ผิดหลักองค์การการค้าโลก ส่วนการคุ้มครองธุรกิจของคนต่างด้าวที่ไม่ได้ถือว่าเป็นต่างด้าวและ เมื่อได้มีการเพิ่มคำนิยามทำให้บริษัทเหล่านี้กลายเป็นบริษัทต่างด้าวนั้น ก็ได้มีบทเฉพาะกาลที่ดูแลกรณีนี้ด้วย ซึ่งข้อสังเกตและข้อท้วงติง รวมทั้งบทนิยามต่าง ๆ ที่สมาชิกได้เสนอมานั้น สามารถนำมาพิจารณาในขั้นตอนต่อไปได้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้และให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณา ๒๗ คน ใช้เวลาแปรญัตติ ๗ วัน โดยใช้ร่างของคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก
๓. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งนายวิริยะ
นามศิริพงศ์พันธุ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ
ประธานเสนอที่ประชุมให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติลำดับที่ ๔ ถึง ๑๓ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติทนายความ (ฉบับที่..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง (ฉบับที่..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (ฉบับที่..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติรับราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และ
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ไปในคราวเดียวกัน เนื่องจากเป็นร่างพระราชบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน และผู้เสนอเป็นบุคคล
เดียวกัน
นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้แถลงต่อที่ประชุมว่า ปัญหาและอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของคนพิการคือความเชื่อว่าคนพิการไม่มีความสามารถและมีข้อจำกัด ในการทำงาน ความเชื่อเหล่านี้ทำให้คนพิการไม่ได้รับการพัฒนา อีกทั้งคนพิการต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝ่าฟันอุปสรรคและการหางานทำ ซึ่งในอดีตกฎหมายทุกฉบับจะห้ามคนพิการในการปฏิบัติหน้าที่ โดยภายหลังในปี ๒๕๑๗ ได้เริ่มประสบความสำเร็จในการแยกความพิการออกจากการความสามารถในการทำงานโดยมีการออกพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งมีการเติมคำว่า “กายพิการทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้” อย่างไรก็ตามคนพิการก็ยังเห็นว่า ถ้อยคำนี้เป็นการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการอีกทั้งยังสร้างปัญหาให้กับผู้พิการในภายหลังด้วย จึงเห็นว่าควรตัดถ้อยคำเหล่านี้ออกเพื่อให้คนพิการมีกำลังใจสามารถปฏิบัติงานหลายอย่างได้ต่อไป สำหรับ ร่างพระราชบัญญัติอื่น ๆ นั้น เช่น ร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. นายวิริยะ ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงห้ามไม่ให้คนพิการรับใบประกอบโรคศิลปะ โดยเห็นว่าไม่ควรกำหนดโดยรวมถึงคนพิการทุกคน เพราะงานบางอย่างคนพิการบางคนสามารถทำได้ อีกทั้งในส่วนของร่างพระราชบัญญัติทนายความ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ก็มีการกำหนดให้นายกสมาคมทนายความหรือกรรมการสมาคมทนายความต้องไม่เป็นคนพิการโดยเห็นว่าควรเปิดโอกาสให้คนพิการได้เข้ามามี บทบาทได้ด้วย
จากนั้น สมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับ ..) พ.ศ. …. ซึ่งพระราชบัญญัติที่ใช้อยู่ขณะนี้เป็นปี ๒๕๔๒ โดยเรื่องของการประกอบโรคศิลปะจะมีคณะกรรมการวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน ๗ สาขา และมีเพียง ๒ สาขาที่พบว่ามีการกำหนดลักษณะทุพพลภาพ ดังนั้นหากมีการแก้ไขกฎหมายโดยตัดคำว่า “เป็นผู้ที่มีร่างกายทุพพลภาพ” ออกก็จะไม่ทำให้เกิดปัญหาต่อการประกอบวิชาชีพแต่อย่างไร รวมทั้งเห็นว่าประเด็นที่เป็นปัญหาที่แท้จริงนั้นคือ เรื่องของถ้อยคำโดยมีถ้อยคำที่ปรากฏในกฎหมายต่างกัน ๒ ประโยค คือ ประโยคที่เป็น “ทุพพลภาพ” และ “ทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้” ซึ่งมีผลต่างกันต่อการปฏิบัติและเห็นว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติ เนื่องจากเหตุสภาพทางร่างกาย อย่างไรก็ตามได้มีสมาชิก
อภิปรายเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องตัดถ้อยคำออกเนื่องจากการมีถ้อยคำที่เขียนไว้นั้น ไม่ได้เป็นการกีดกันและไม่ได้ทำให้เกิดการเสียสิทธิแต่อย่างใด
นายประสิทธิ์ โฆวิไลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้ตอบชี้แจงว่า ถ้อยคำที่ระบุในกฎหมายนั้นไม่ได้ตัดสิทธิ์ผู้ที่ทุพพลภาพทุกคน เพราะจะต้องได้รับความเห็นของคณะกรรมการวิชาชีพในเรื่องนั้น ๆ ก่อน และการนำกฎหมายไปใช้จะต้องบรรจุไว้ในพระราชกฤษฎีกาของการประกอบวิชาชีพแต่ละสาขา ทั้งนี้ในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้จะต้องพิจารณาเป็นการเฉพาะ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์และสุขภาพ
หลังจากที่สมาชิกได้อภิปรายจนได้เวลาอันสมควรแล้ว นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ได้ขอถอนร่างพระราชบัญญัติ ๗ ฉบับออกไปก่อน เพื่อนำกลับไปพิจารณาอีกครั้ง และที่ประชุมได้ลงมติเป็นรายฉบับดังนี้
- มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. …. ด้วยคะแนน ๙๒ เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน ๙ คน กำหนดการแปรญัตติภายใน ๗ วัน
- มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. …. ด้วยคะแนน ๑๑๕ เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน ๙ คน กำหนดการแปรญัตติภายใน ๗ วัน
- มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ด้วยคะแนน ๑๑๙ เสียง โดยใช้คณะกรรมาธิการชุดเดียวกับคณะกรรมาธิการที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดการแปรญัตติภายใน ๗ วัน
๓. กระทู้ถาม
๓.๑ กระทู้ถามสด
กระทู้ถามของนายตวง อันทะไชย เรื่อง การแก้ไขปัญหากรณีศาลปกครองจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามใช้มติที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ให้นำผลการทดสอบทางการศึกษา (โอเน็ต) มาใช้สมัครเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ถามนายก รัฐมนตรี
โดยนายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตอบกระทู้ว่า ขณะนี้ผู้ที่ถูกฟ้องทั้งสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา และสำนักงานทดสอบแห่งชาติได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ปกครองสูงสุด โดยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดและขอความกรุณาจากศาลให้สั่งยกเลิกการสั่ง คุ้มครองหรือให้มีการวินิจฉัยเรื่องนี้โดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบในขั้นตอนของการรับสมัคร แต่สิ่งที่กระทบคือเรื่องของการไม่ให้ใช้มติที่ประชุมอธิการบดีที่มีมติให้ใช้ผลการสอบโอเน็ตครั้งแรก เท่านั้น ทำให้ปัจจุบันไม่มีเกณฑ์ที่จะใช้ตัดสินคัดเลือกนักเรียน ทั้งนี้ก็จะต้องรอศาลวินิจฉัย ซึ่งหากอุทธรณ์ฟังขึ้น ก็จะได้ตัดสินตามเกณฑ์เดิมแต่หากอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น จำเลยก็จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งทันที ที่ศาลมีคำสั่งก็จะน้อมรับปฏิบัติ และขณะนี้ได้หาแนวทางการแก้ไขปัญหาไว้แล้ว โดยยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสมัคร
นอกจากนี้ได้ชี้แจงถึงการปรับปรุงการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยว่าจะต้องประกาศให้ทราบล่วงหน้า ๓ ปี เพื่อให้นักเรียนมีโอกาสเตรียมตัว ทั้งนี้สาเหตุของการปรับปรุงก็เนื่องมาจากการปฏิรูปการศึกษาที่อยากให้ความสำคัญกับผลการเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายด้วย โดยการที่กำหนดให้ใช้ผลการสอบโอเน็ตครั้งแรกนั้น เนื่องจากต้องการทราบสัมฤทธิผลของการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา สำหรับการสอบเอเน็ตนั้นเป็นการสอบเฉพาะผู้ที่เข้าศึกษามหาวิทยาลัย
๓.๒ กระทู้ถามทั่วไป
กระทู้ถามของนายสมบัติ เมทะนี เรื่องปัญหาการซื้อที่ดินของมูลนิธิวัด
สวนแก้ว ซึ่งผู้ขายได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ ถามนายกรัฐมนตรี
โดยนายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ว่า มูลนิธิที่ซื้อที่ดินนั้นมีชื่อที่ถูกต้องว่า มูลนิธิสวนแก้ว ซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นมูลนิธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๒๙ ไม่ได้เป็นมูลนิธิวัดสวนแก้วตามที่ประชาชนเข้าใจ ดังนั้นที่ดินที่ซื้อนี้จึงไม่ใช่ที่ดินของวัดสวนแก้ว และในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้น นี้กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กรมที่ดินตรวจสอบและพิจารณาเห็นว่าความเสียหายไม่ได้ เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานที่ดิน จึงได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาคือ เงินที่ได้ชำระเป็น ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนการครอบครองปรปักษ์และการจดทะเบียนขายที่ดินนั้น เป็นเงินที่เรียกเก็บจากราษฎรเป็นค่าตอบแทนที่รัฐให้บริการแก่ราษฎร และได้ส่งคืนเป็นรายได้แผ่นดินแล้วจึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าธรรมเนียมคืน ส่วนที่ได้ชำระเป็นเงินภาษีเงินได้ภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น หากปรากฏเป็นความจริงว่าผู้มีหน้าที่ชำระภาษีเป็นผู้ไม่มีเงินได้ ก็สามารถทำเรื่องแจ้งกรมสรรพากรพิจารณาตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ เงินที่เป็นค่าซื้อที่ดินนั้น เมื่อมีรายการจดทะเบียนถูกต้องและต้องถูกเพิกถอนก็ไม่ได้
เกิดจากการกระทำคลาดเคลื่อนหรือการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานที่ดิน จึงไม่มีกฎหมายให้เจ้าพนักงานที่ดินต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อมีการซื้อขายที่ดินแล้วปรากฏว่า มูลนิธิสวนแก้วตกลงซื้อที่ดิน แต่ไม่ได้ที่ดิน มูลนิธิสามารถเสนอคดีต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องต่อผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นได้ อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลได้พยายามหาวิธีไกล่เกลี่ยผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อยุติที่เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย
๔. เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ไม่มี
๕. เรื่องที่ค้างพิจารณา
๕.๑ ญัตติ เรื่อง ขอให้ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาปัญหาอัตรา
ภาษีสุรา ซึ่งนายประพันธ์ คูณมี เป็นผู้เสนอ โดยผู้เสนอขอเลื่อนญัตตินี้ไปพิจารณาในคราวต่อไป
๕.๒ ญัตติ เรื่อง กรณีการดำเนินการกับการชุมนุมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย
และมาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งนายสำราญ รอดเพชร กับคณะ เป็นผู้เสนอ
โดยสมาชิกได้อภิปรายถึงความเคลื่อนไหวที่หมิ่นเหม่การนำไปสู่การละเมิดพระราชอำนาจ และการชุมนุมทางการเมือง อาทิ มีการล่ารายชื่อผ่านเว็บไซด์ การชุมนุมที่สนามหลวง การเรียกร้องให้ถอดถอน พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งผู้นำรัฐบาลก็ไม่ได้ออกมาแสดงภาวะความเป็นผู้นำแต่อย่างไร รวมทั้งเมื่อ ๓ เดือนก่อนได้มีการผลิต VCD โจมตีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและ พล.อ. เปรม โดยใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ซึ่งการกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลต่อสถาบันสำคัญ ๆ ของชาติ ตลอดจนการรวมชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มพีทีวี และกลุ่ม ๑๒ องค์กร รวมถึงในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ จะมีการตัดสินคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งสถานการณ์จะถึงขั้นแตกหักได้ นอกจากนี้ยังมีขบวนการที่เป็นอันตรายที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่า คือ ขบวนการที่ประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งขบวนการดังกล่าวนั้น ได้สืบอุดมการณ์ดั้งเดิมมาจากลัทธิคอมมิวนิสต์ อีกทั้งในเรื่องของปฏิญญาฟินแลนด์นั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีหรือไม่มี แต่อยู่ที่ความพยายามที่จะทำตามหลักการปฏิญญาฟินแลนด์จริง นั่นคือ การทำ ยุทธการมวลชน การทำการเมืองระบบพรรคเดียว การยึดแนวทางระบบทุนนิยมสุดขั้ว ให้สถาบันสูงสุดเป็นเพียงสัญญลักษณ์ และการปฏิรูประบบราชการ ดังนั้นรัฐบาลควรมีนโยบายทางการเมืองอย่างใด อย่างหนึ่งที่เข้มแข็งเพียงพอในการฟื้นฟู เชิดชู และรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงมาตรการปกป้องระบบองคมนตรีด้วย
จากนั้น นายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าว ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้มองข้ามหรือปล่อยปละละเลยสถานการณ์บ้านเมือง และได้เร่งรัดการดำเนินการทุกด้าน เพื่อไปสู่จุดหมายตามที่ตั้งไว้ เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลชุดใหม่ได้ดูแลต่อไป อย่างไรก็ตามรัฐบาลตระหนักดีว่าการบริหารบ้านเมืองในช่วงสถานการณ์อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และยืนยันว่าจะไม่ท้อถอยและจะยืนหยัดจนถึงที่สุด
นายชาญชัย ลิขิตจิตตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้อภิปรายเพิ่มเติมว่า การล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนประธานองคมนตรีนั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นการหมิ่นเหม่พระราชอำนาจ ซึ่งทางพนักงานตำรวจไม่ได้ แต่ในทางกฎหมายแล้วคดีหมิ่นประมาทนั้น เป็นเรื่องที่ยินยอมความได้ ดังนั้น บุคคลที่เสียหายจะต้องเป็นผู้ร้องทุกข์ อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายกำลังพิจารณาว่าจะต้องพิจารณาแก้ไขอย่างไร สำหรับมาตราการป้องกันไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ได้รับผลกระทบจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีนั้น หากมีการล่วงละเมิด ทางรัฐบาลและตำรวจจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้จะรวบรวมข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของสมาชิกนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป
๖. เรื่องที่เสนอใหม่ ไม่มี
๗. เรื่องอื่น ๆ
- ร่างข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และกรรมาธิการ พ.ศ. …. ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา
ยกร่างเสร็จแล้ว โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ขอเลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปในคราวหน้า
ปิดประชุมเวลา ๑๙.๐๕ นาฬิกา
----------------------------------------------
วันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐
-----------------------------
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๑/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐ เริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑๓.๓๕ นาฬิกา โดยมี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุม เมื่อครบองค์ประชุม ประธานได้ดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระ ดังนี้
๑. เรื่องที่ประธานจะแจ้งต่อที่ประชุม
คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ฉบับที่ พ.ศ. …. ตามที่สภาส่งไปเพื่อดำเนินการแล้ว และเห็นชอบให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป
๒. รับรองรายงานการประชุม
- รับรองรายงานการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ครั้งที่ ๒/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๔/๒๕๕๐ วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๕/๒๕๕ วันพุธที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๖/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๗/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๘/๒๕๕๐ วันพุธที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ครั้งที่ ๙/๒๕๕๐ วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ต่อจากนั้น ประธานได้ขอหารือต่อที่ประชุมในเรื่องการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๐ สภาร่างรัฐธรรมนูญจะนำส่งร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกมาให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อขอความเห็นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีระยะเวลาในการพิจารณา
ส่งความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ๓๐ วัน ซึ่งตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ข้อที่ ๑๓๐ กำหนดว่า เมื่อได้รับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ให้ส่งไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญการปฏิรูปการเมืองเป็นการด่วน และให้คณะกรรมาธิการพิจารณาและรายงานต่อสภาภายใน ๗ วัน โดยประธานเห็นว่าระยะเวลา ๗ วันนั้นสั้นมาก รวมทั้งยังมีประเด็นต่าง ๆ ที่สมาชิกต้องการนำเสนออีกเป็นจำนวนมาก จึงขอ ยกเว้นข้อบังคับเพื่อขยายเวลาออกไป ๑๕ วัน และเมื่อครบ ๑๕ วันแล้ว จะนำกลับเข้าสภาภายใน ๗ วัน ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ วันที่ครบกำหนด ๑๕ วัน คือวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่คณะกรรมาธิการจะต้องส่งร่างรัฐธรรมนูญพร้อมประเด็นต่าง ๆ ที่เห็นว่าควรแก้ไขมาให้ เพื่อบรรจุเข้าวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยจะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมได้ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐
ที่ประชุมเห็นชอบตามที่เสนอ
เรื่องด่วน
๑. ร่างพระราชบัญญัติศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. …. ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ขอถอนร่าง พระราชบัญญัตินี้ออกไป เพื่อพิจารณาทบทวนเพิ่มเติมในบางประเด็น
๒. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ซึ่งคณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ และได้มีร่างพระราชบัญญัติในทำนองเดียวกัน ของนายสมชาย
สกุลสุรรัตน์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ จึงได้นำมาพิจารณาในคราวเดียวกัน
นางอรนุช โอสถานนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ชี้แจงถึงหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
หลักการ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒
ดังต่อไปนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่าคนต่างด้าว ให้หมายรวมถึงนิติบุคคล ซึ่งจดทะเบียน
ในประเทศไทย ที่คณะต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตั้งแต่กึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงที่มีสิทธิ
ออกเสียงทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่าคนต่างด้าวในมาตรา ๔
๒. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แก้ไข
เพิ่มเติมมาตรา ๒๓
๓. เพิ่มอัตราโทษปรับ และอัตราโทษจำคุกแก่ผู้กระทำความผิดจากมาตรา ๓๕ มาตรา
๓๖ และมาตรา ๓๗
๔. แก้ไขเพิ่มเติมให้กรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล
ผู้กระทำความผิด ซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้น หรือมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกัน
มิให้เกิดความผิดนั้น ต้องรับโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นด้วย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๑
๕. แก้ไขเพิ่มเติมบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น แก้ไขเพิ่มเติม
(๑๓) (๑๔) (๑๕) และ (๒๑) และยกเลิก (๑๘) ของบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติ
เหตุผล
โดยที่ปัจจุบันมีกรณีที่คนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจที่สงวนไว้ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ ผ่านนิติบุคคล ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย โดย หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมาย ด้วยการให้นิติบุคคลดังกล่าวออกหุ้นชนิดที่คนต่างด้าวมีสิทธิ ออกเสียงได้มากขึ้น หรือออกหุ้นชนิดที่คนไทยมีสิทธิออกเสียงได้น้อยลง อีกทั้งองค์ประกอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไม่เอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ และอัตราโทษที่จะลงโทษคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจสงวนโดยไม่ได้รับอนุญาตินั้นอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ไม่เกิดความเกรงกลัวกฎหมาย นอกจากนี้การกำหนดธุรกิจบางประเภทไว้ในบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติไม่เหมาะสมกับปัจจุบัน จึงสมควรปรับปรุงบทนิยามคำว่าคนต่างด้าวให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมนิติบุคคล ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยที่คนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตั้งแต่กึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และเพิ่มอัตราโทษปรับและอัตราโทษจำคุกแก่ผู้ประกอบธุรกิจสงวนโดยไม่ได้รับอนุญาตให้สูงขึ้น รวมทั้งปรับปรุงกรรมการและหุ้นส่วนหรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลผู้กระทำความผิด ซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้น หรือมิได้จัดการตามสมควร เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นต้องรับโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น และแก้ไขเพิ่มเติมบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ชี้แจงหลักการและ
เหตุผลว่า ร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้จะช่วย ขจัดความไม่แน่นอน ซึ่งนักลงทุนถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ และจะเกิดประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ มีความคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากบทบัญญัติที่แตกต่างกันระหว่างร่างของสมาชิกกับร่างของรัฐบาลนั้นได้รับการแก้ไขโดยคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วเป็นส่วนใหญ่
จากนั้นที่ประชุมได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง และได้ตั้งข้อสังเกตว่า บทนิยามของ ”คนต่างด้าว” ยังแก้ไขไม่ครอบคลุมและร่างดังกล่าวยังมีช่องโหว่ จึงขอเสนอให้ชาวต่างชาติที่จะมา ลงทุนในประเทศไทยต้องขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้มีประวัติและสถิติของทางราชการ อีกทั้งเสนอให้เปลี่ยนชื่อกฎหมายดังกล่าว เพราะชื่อร่างพระราชบัญญัติจะทำให้นักลงทุนต่างด้าว ไม่กล้ามาลงทุน โดยให้หลีกเลี่ยงประเด็นหรือข้อความที่ว่า “ควบคุมประกอบธุรกิจคนต่างด้าว” รวมทั้งขอให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญและกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด
นางอรนุช โอสถานนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ตอบชี้แจงว่า
ร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ มีความใกล้เคียงกันมาก มีแต่เพียงรายละเอียดที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย และเหตุผลที่เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้เนื่องจากเห็นช่องโหว่ของกฎหมายและต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามหลักธรรมาภิบาลด้วยความโปร่งใสและเสมอภาค สำหรับปัญหาของคำนิยามนั้น ได้มีการเพิ่มคำนิยามของการออกเสียงเข้าไปแล้ว ซึ่งถือเป็นการควบคุมอีกทางหนึ่งได้ด้วย ทั้งนี้การแก้ไขร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นอำนาจของรัฐบาลไทย ซึ่งไม่ได้เป็นการละเมิดพันธะกรณีต่อต่างประเทศ และไม่ผิดหลักองค์การการค้าโลก ส่วนการคุ้มครองธุรกิจของคนต่างด้าวที่ไม่ได้ถือว่าเป็นต่างด้าวและ เมื่อได้มีการเพิ่มคำนิยามทำให้บริษัทเหล่านี้กลายเป็นบริษัทต่างด้าวนั้น ก็ได้มีบทเฉพาะกาลที่ดูแลกรณีนี้ด้วย ซึ่งข้อสังเกตและข้อท้วงติง รวมทั้งบทนิยามต่าง ๆ ที่สมาชิกได้เสนอมานั้น สามารถนำมาพิจารณาในขั้นตอนต่อไปได้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้และให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณา ๒๗ คน ใช้เวลาแปรญัตติ ๗ วัน โดยใช้ร่างของคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก
๓. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งนายวิริยะ
นามศิริพงศ์พันธุ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ
ประธานเสนอที่ประชุมให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติลำดับที่ ๔ ถึง ๑๓ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติทนายความ (ฉบับที่..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง (ฉบับที่..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (ฉบับที่..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติรับราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และ
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
ไปในคราวเดียวกัน เนื่องจากเป็นร่างพระราชบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน และผู้เสนอเป็นบุคคล
เดียวกัน
นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้แถลงต่อที่ประชุมว่า ปัญหาและอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของคนพิการคือความเชื่อว่าคนพิการไม่มีความสามารถและมีข้อจำกัด ในการทำงาน ความเชื่อเหล่านี้ทำให้คนพิการไม่ได้รับการพัฒนา อีกทั้งคนพิการต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝ่าฟันอุปสรรคและการหางานทำ ซึ่งในอดีตกฎหมายทุกฉบับจะห้ามคนพิการในการปฏิบัติหน้าที่ โดยภายหลังในปี ๒๕๑๗ ได้เริ่มประสบความสำเร็จในการแยกความพิการออกจากการความสามารถในการทำงานโดยมีการออกพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งมีการเติมคำว่า “กายพิการทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้” อย่างไรก็ตามคนพิการก็ยังเห็นว่า ถ้อยคำนี้เป็นการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการอีกทั้งยังสร้างปัญหาให้กับผู้พิการในภายหลังด้วย จึงเห็นว่าควรตัดถ้อยคำเหล่านี้ออกเพื่อให้คนพิการมีกำลังใจสามารถปฏิบัติงานหลายอย่างได้ต่อไป สำหรับ ร่างพระราชบัญญัติอื่น ๆ นั้น เช่น ร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. นายวิริยะ ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงห้ามไม่ให้คนพิการรับใบประกอบโรคศิลปะ โดยเห็นว่าไม่ควรกำหนดโดยรวมถึงคนพิการทุกคน เพราะงานบางอย่างคนพิการบางคนสามารถทำได้ อีกทั้งในส่วนของร่างพระราชบัญญัติทนายความ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ก็มีการกำหนดให้นายกสมาคมทนายความหรือกรรมการสมาคมทนายความต้องไม่เป็นคนพิการโดยเห็นว่าควรเปิดโอกาสให้คนพิการได้เข้ามามี บทบาทได้ด้วย
จากนั้น สมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับ ..) พ.ศ. …. ซึ่งพระราชบัญญัติที่ใช้อยู่ขณะนี้เป็นปี ๒๕๔๒ โดยเรื่องของการประกอบโรคศิลปะจะมีคณะกรรมการวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน ๗ สาขา และมีเพียง ๒ สาขาที่พบว่ามีการกำหนดลักษณะทุพพลภาพ ดังนั้นหากมีการแก้ไขกฎหมายโดยตัดคำว่า “เป็นผู้ที่มีร่างกายทุพพลภาพ” ออกก็จะไม่ทำให้เกิดปัญหาต่อการประกอบวิชาชีพแต่อย่างไร รวมทั้งเห็นว่าประเด็นที่เป็นปัญหาที่แท้จริงนั้นคือ เรื่องของถ้อยคำโดยมีถ้อยคำที่ปรากฏในกฎหมายต่างกัน ๒ ประโยค คือ ประโยคที่เป็น “ทุพพลภาพ” และ “ทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้” ซึ่งมีผลต่างกันต่อการปฏิบัติและเห็นว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติ เนื่องจากเหตุสภาพทางร่างกาย อย่างไรก็ตามได้มีสมาชิก
อภิปรายเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องตัดถ้อยคำออกเนื่องจากการมีถ้อยคำที่เขียนไว้นั้น ไม่ได้เป็นการกีดกันและไม่ได้ทำให้เกิดการเสียสิทธิแต่อย่างใด
นายประสิทธิ์ โฆวิไลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้ตอบชี้แจงว่า ถ้อยคำที่ระบุในกฎหมายนั้นไม่ได้ตัดสิทธิ์ผู้ที่ทุพพลภาพทุกคน เพราะจะต้องได้รับความเห็นของคณะกรรมการวิชาชีพในเรื่องนั้น ๆ ก่อน และการนำกฎหมายไปใช้จะต้องบรรจุไว้ในพระราชกฤษฎีกาของการประกอบวิชาชีพแต่ละสาขา ทั้งนี้ในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้จะต้องพิจารณาเป็นการเฉพาะ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์และสุขภาพ
หลังจากที่สมาชิกได้อภิปรายจนได้เวลาอันสมควรแล้ว นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ได้ขอถอนร่างพระราชบัญญัติ ๗ ฉบับออกไปก่อน เพื่อนำกลับไปพิจารณาอีกครั้ง และที่ประชุมได้ลงมติเป็นรายฉบับดังนี้
- มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. …. ด้วยคะแนน ๙๒ เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน ๙ คน กำหนดการแปรญัตติภายใน ๗ วัน
- มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. …. ด้วยคะแนน ๑๑๕ เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน ๙ คน กำหนดการแปรญัตติภายใน ๗ วัน
- มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ด้วยคะแนน ๑๑๙ เสียง โดยใช้คณะกรรมาธิการชุดเดียวกับคณะกรรมาธิการที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดการแปรญัตติภายใน ๗ วัน
๓. กระทู้ถาม
๓.๑ กระทู้ถามสด
กระทู้ถามของนายตวง อันทะไชย เรื่อง การแก้ไขปัญหากรณีศาลปกครองจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามใช้มติที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ให้นำผลการทดสอบทางการศึกษา (โอเน็ต) มาใช้สมัครเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ถามนายก รัฐมนตรี
โดยนายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตอบกระทู้ว่า ขณะนี้ผู้ที่ถูกฟ้องทั้งสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา และสำนักงานทดสอบแห่งชาติได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ปกครองสูงสุด โดยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดและขอความกรุณาจากศาลให้สั่งยกเลิกการสั่ง คุ้มครองหรือให้มีการวินิจฉัยเรื่องนี้โดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบในขั้นตอนของการรับสมัคร แต่สิ่งที่กระทบคือเรื่องของการไม่ให้ใช้มติที่ประชุมอธิการบดีที่มีมติให้ใช้ผลการสอบโอเน็ตครั้งแรก เท่านั้น ทำให้ปัจจุบันไม่มีเกณฑ์ที่จะใช้ตัดสินคัดเลือกนักเรียน ทั้งนี้ก็จะต้องรอศาลวินิจฉัย ซึ่งหากอุทธรณ์ฟังขึ้น ก็จะได้ตัดสินตามเกณฑ์เดิมแต่หากอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น จำเลยก็จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งทันที ที่ศาลมีคำสั่งก็จะน้อมรับปฏิบัติ และขณะนี้ได้หาแนวทางการแก้ไขปัญหาไว้แล้ว โดยยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสมัคร
นอกจากนี้ได้ชี้แจงถึงการปรับปรุงการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยว่าจะต้องประกาศให้ทราบล่วงหน้า ๓ ปี เพื่อให้นักเรียนมีโอกาสเตรียมตัว ทั้งนี้สาเหตุของการปรับปรุงก็เนื่องมาจากการปฏิรูปการศึกษาที่อยากให้ความสำคัญกับผลการเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายด้วย โดยการที่กำหนดให้ใช้ผลการสอบโอเน็ตครั้งแรกนั้น เนื่องจากต้องการทราบสัมฤทธิผลของการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา สำหรับการสอบเอเน็ตนั้นเป็นการสอบเฉพาะผู้ที่เข้าศึกษามหาวิทยาลัย
๓.๒ กระทู้ถามทั่วไป
กระทู้ถามของนายสมบัติ เมทะนี เรื่องปัญหาการซื้อที่ดินของมูลนิธิวัด
สวนแก้ว ซึ่งผู้ขายได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ ถามนายกรัฐมนตรี
โดยนายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ว่า มูลนิธิที่ซื้อที่ดินนั้นมีชื่อที่ถูกต้องว่า มูลนิธิสวนแก้ว ซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นมูลนิธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๒๙ ไม่ได้เป็นมูลนิธิวัดสวนแก้วตามที่ประชาชนเข้าใจ ดังนั้นที่ดินที่ซื้อนี้จึงไม่ใช่ที่ดินของวัดสวนแก้ว และในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้น นี้กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กรมที่ดินตรวจสอบและพิจารณาเห็นว่าความเสียหายไม่ได้ เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานที่ดิน จึงได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาคือ เงินที่ได้ชำระเป็น ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนการครอบครองปรปักษ์และการจดทะเบียนขายที่ดินนั้น เป็นเงินที่เรียกเก็บจากราษฎรเป็นค่าตอบแทนที่รัฐให้บริการแก่ราษฎร และได้ส่งคืนเป็นรายได้แผ่นดินแล้วจึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าธรรมเนียมคืน ส่วนที่ได้ชำระเป็นเงินภาษีเงินได้ภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น หากปรากฏเป็นความจริงว่าผู้มีหน้าที่ชำระภาษีเป็นผู้ไม่มีเงินได้ ก็สามารถทำเรื่องแจ้งกรมสรรพากรพิจารณาตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ เงินที่เป็นค่าซื้อที่ดินนั้น เมื่อมีรายการจดทะเบียนถูกต้องและต้องถูกเพิกถอนก็ไม่ได้
เกิดจากการกระทำคลาดเคลื่อนหรือการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานที่ดิน จึงไม่มีกฎหมายให้เจ้าพนักงานที่ดินต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อมีการซื้อขายที่ดินแล้วปรากฏว่า มูลนิธิสวนแก้วตกลงซื้อที่ดิน แต่ไม่ได้ที่ดิน มูลนิธิสามารถเสนอคดีต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องต่อผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นได้ อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลได้พยายามหาวิธีไกล่เกลี่ยผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อยุติที่เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย
๔. เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ไม่มี
๕. เรื่องที่ค้างพิจารณา
๕.๑ ญัตติ เรื่อง ขอให้ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาปัญหาอัตรา
ภาษีสุรา ซึ่งนายประพันธ์ คูณมี เป็นผู้เสนอ โดยผู้เสนอขอเลื่อนญัตตินี้ไปพิจารณาในคราวต่อไป
๕.๒ ญัตติ เรื่อง กรณีการดำเนินการกับการชุมนุมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย
และมาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งนายสำราญ รอดเพชร กับคณะ เป็นผู้เสนอ
โดยสมาชิกได้อภิปรายถึงความเคลื่อนไหวที่หมิ่นเหม่การนำไปสู่การละเมิดพระราชอำนาจ และการชุมนุมทางการเมือง อาทิ มีการล่ารายชื่อผ่านเว็บไซด์ การชุมนุมที่สนามหลวง การเรียกร้องให้ถอดถอน พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งผู้นำรัฐบาลก็ไม่ได้ออกมาแสดงภาวะความเป็นผู้นำแต่อย่างไร รวมทั้งเมื่อ ๓ เดือนก่อนได้มีการผลิต VCD โจมตีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและ พล.อ. เปรม โดยใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ซึ่งการกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลต่อสถาบันสำคัญ ๆ ของชาติ ตลอดจนการรวมชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มพีทีวี และกลุ่ม ๑๒ องค์กร รวมถึงในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ จะมีการตัดสินคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งสถานการณ์จะถึงขั้นแตกหักได้ นอกจากนี้ยังมีขบวนการที่เป็นอันตรายที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่า คือ ขบวนการที่ประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งขบวนการดังกล่าวนั้น ได้สืบอุดมการณ์ดั้งเดิมมาจากลัทธิคอมมิวนิสต์ อีกทั้งในเรื่องของปฏิญญาฟินแลนด์นั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีหรือไม่มี แต่อยู่ที่ความพยายามที่จะทำตามหลักการปฏิญญาฟินแลนด์จริง นั่นคือ การทำ ยุทธการมวลชน การทำการเมืองระบบพรรคเดียว การยึดแนวทางระบบทุนนิยมสุดขั้ว ให้สถาบันสูงสุดเป็นเพียงสัญญลักษณ์ และการปฏิรูประบบราชการ ดังนั้นรัฐบาลควรมีนโยบายทางการเมืองอย่างใด อย่างหนึ่งที่เข้มแข็งเพียงพอในการฟื้นฟู เชิดชู และรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงมาตรการปกป้องระบบองคมนตรีด้วย
จากนั้น นายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าว ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้มองข้ามหรือปล่อยปละละเลยสถานการณ์บ้านเมือง และได้เร่งรัดการดำเนินการทุกด้าน เพื่อไปสู่จุดหมายตามที่ตั้งไว้ เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลชุดใหม่ได้ดูแลต่อไป อย่างไรก็ตามรัฐบาลตระหนักดีว่าการบริหารบ้านเมืองในช่วงสถานการณ์อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และยืนยันว่าจะไม่ท้อถอยและจะยืนหยัดจนถึงที่สุด
นายชาญชัย ลิขิตจิตตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้อภิปรายเพิ่มเติมว่า การล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนประธานองคมนตรีนั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นการหมิ่นเหม่พระราชอำนาจ ซึ่งทางพนักงานตำรวจไม่ได้ แต่ในทางกฎหมายแล้วคดีหมิ่นประมาทนั้น เป็นเรื่องที่ยินยอมความได้ ดังนั้น บุคคลที่เสียหายจะต้องเป็นผู้ร้องทุกข์ อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายกำลังพิจารณาว่าจะต้องพิจารณาแก้ไขอย่างไร สำหรับมาตราการป้องกันไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ได้รับผลกระทบจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีนั้น หากมีการล่วงละเมิด ทางรัฐบาลและตำรวจจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้จะรวบรวมข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของสมาชิกนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป
๖. เรื่องที่เสนอใหม่ ไม่มี
๗. เรื่องอื่น ๆ
- ร่างข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และกรรมาธิการ พ.ศ. …. ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา
ยกร่างเสร็จแล้ว โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ขอเลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปในคราวหน้า
ปิดประชุมเวลา ๑๙.๐๕ นาฬิกา
----------------------------------------------