ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ยอมรับวัตถุประสงค์การแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราจะช่วยให้การบริหารจัดการสินทรัพย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
คณะกรรมาธิการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาชี้แจง
จุดประสงค์ในการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราเมื่อวานนี้ (6 ส.ค.50) โดยผู้ว่าการ ธปท.ยอมรับว่า การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะช่วยให้
การบริหารจัดการสินทรัพย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ ธปท.สามารถล้างผลขาดทุนสะสมที่เกิดขึ้นจากการบริหารค่าเงิน โดยสาระ
สำคัญข้อหนึ่งของการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว คือ การปรับวิธีการลงบัญชี แยกระหว่างบัญชีกำไรขาดทุนจากการทำธุรกรรมซื้อขายสินทรัพย์
กับบัญชีกำไรขาดทุนที่ไม่ได้เกิดจากการทำธุรกรรม เช่น กรณีที่ผลขาดทุนเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสำรองในบัญชีทุนสำรอง
โดยจะเห็นว่าจากผลการดำเนินงานในปี 49 ของ ธปท.พบว่ามีผลขาดทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดเป็น
การขาดทุนที่เกิดจากการประเมินราคาสินทรัพย์ที่ลดลง เพราะค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับนี้เพื่อช่วยให้
ธปท.สามารถบริหารจัดการรายได้ได้ดีขึ้น เพราะเมื่อมีการแยกวิธีการลงบัญชีทำให้ ธปท.มีต้นทุนลดลง จะส่งผลให้ขาดทุนลดลงทำให้มีรายได้
พอที่จะนำส่งให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่ ธปท.ต้องรับผลการขาดทุนและดอกเบี้ย (โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท.เผยภายหลังอนุมัติให้นอนเรสิเดนท์เข้าทำสวอปในประเทศแล้ว 2 หมื่นล้านบาท จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสวอป
2 ตลาดใกล้กันมากขึ้น ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังจากที่ ธปท.อนุญาตให้
นอน เรสิเดนท์ในตลาดเงินบาทต่างประเทศ (ออฟชอร์) ที่มีธุรกรรมรองรับก่อนวันที่ 19 ธ.ค.49 เข้ามาทำสวอปในตลาดเงินบาท
ในประเทศ (ออนชอร์) ได้นั้น จะมีผลให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยการทำสวอปในตลาดออนชอร์และตลาดออฟชอร์ต่างกันไม่มากเหมือน
ในปัจจุบัน แต่ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนตลาดสปอตของตลาดออฟชอร์และออนชอร์น่าจะยังคงมีความต่างกันอยู่ โดยสาเหตุที่ทำให้อัตรา
แลกเปลี่ยนของ 2 ตลาดต่างกันมากในปัจจุบันที่ห่างกันกว่า 4 บาท จากที่เคยต่างกันในช่วงแรกที่มีมาตรการกันสำรองเพียงกว่า 1 บาทนั้น
ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ก่อนหน้านี้ ธปท.ได้มีมาตรการห้ามนักลงทุนนำเงินปันผลที่แลกเป็นเงินบาทออกไปลงทุนในตลาดออฟชอร์ ซึ่งโดย
ปกติแล้ว ส่วนของเงินปันผลจะมีจำนวนประมาณปีละ 6,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. มาตรการของ ธปท.ข้อนี้จึงทำให้ปริมาณเงินบาทในตลาด
ออฟชอร์มีน้อยลงส่งผลให้ค่าเงินบาทในออฟชอร์แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่นักเก็งกำไรอาจจะกังวลว่า ธปท.จะมี
มาตรการใดที่รุนแรงกระทบกับตลาดออกมาอีก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการลงทุนอยู่ในตลาดออฟชอร์จะมีโอกาสหาผลตอบแทนได้ดีกว่าเข้ามาลงทุน
ในออนชอร์ ขณะที่นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ยังไม่พบการเก็งกำไรค่าเงินบาทจากส่วนต่าง
ระหว่างออนชอร์และออฟชอร์ที่ห่างกัน 4 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
3. ที่ประชุม กกร.ชี้ยังประเมินผลงาน 6 มาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าไม่ได้ ต้องรออีก 1-2 เดือนข้างหน้า ประธาน
สมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวภายหลังการประชุมวานนี้ (6 ส.ค.)
ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงมาตรการที่ กกร.เสนอภาครัฐในการช่วยเหลือภาคเอกชนต่อกรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว
7 มาตรการ (โดยมีเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่รัฐดำเนินการไม่ได้) ถือว่ามาตรการที่รัฐออกมาช่วยเหลือผู้ส่งออกไม่ให้ลำบากมากขึ้น นับว่าทำให้
ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพดีขึ้น แต่หากจะประเมินค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้หรือไม่ ต้องรอดูอีก 1-2 เดือน ด้านนางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ
ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ทิศทางค่าเงินบาทในอนาคตจะแข็งขึ้นอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ
มุมมองของนักลงทุนต่างชาติว่าเห็นช่องทางโอกาสที่จะเข้าไปเก็งกำไรค่าเงินบาทได้แค่ไหน แต่เมื่อเทียบค่าเงินบาทที่จะกลับไปใกล้เคียง
กับปี 40 เป็นไปได้ยาก เนื่องจากหากเทียบค่าเงินบาทในขณะนี้ (6 ส.ค.) ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.กับค่าเงินบาทในช่วงปี 40
ที่ระดับ 25-26 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ถือว่ายังห่างไกลอีกมาก (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, แนวหน้า)
4. ดัชนีคาดการณ์ภาวะส่งออกและความสามารถในการแข่งขันช่วงไตรมาส 3 ปี 50 มีค่า 59.4 และ 52.6 ตามลำดับ
รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ส่งออกจำนวน 221 รายของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้าในไตรมาส 3 ของ
ปี 50 (ก.ค.-ก.ย.) พบว่า ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกและดัชนีความสามารถในการแข่งขันมีค่า 59.4 และ 52.6 ตามลำดับ
โดยผู้ประกอบการส่งออกคาดว่ามูลค่าการส่งออกในไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.3 ไม่เปลี่ยนแปลง ร้อยละ 44.3 และลดลงร้อยละ 18.4
ทำให้ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกมีค่าเท่ากับ 59.4 แสดงว่าผู้ส่งออกยังมองว่าการส่งออกมีทิศทางที่ดี ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่งออกคาดการณ์
ความสามารถในการแข่งขันไตรมาส 3 ว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยร้อยละ 20.8 คาดว่าจะดีขึ้น ร้อยละ 63.6 คาดว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
และร้อยละ 15.6 คาดว่าจะลดลง ส่งผลให้ดัชนีดัชนีความสามารถในการแข่งขันมีค่า 52.6 (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, มติชน)
5. กรมธนารักษ์เตรียมรื้อโครงสร้างเหรียญทั้งระบบ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ในปี 51 กรมธนารักษ์จะมีการปรับปรุง
เหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนในระบบ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการผลิตเหรียญมีแนวโน้มราคาของวัสดุปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ใกล้เคียงกับราคาหน้าเหรียญ
และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าราคาหน้าเหรียญ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะจะทำให้มีผู้เก็บเหรียญออกจาก
ระบบแล้วนำไปหลอมใช้ประโยชน์อย่างอื่น โดยเหรียญสองบาท คือเหรียญชนิดแรกที่กรมธนารักษ์จะทำการปรับปรุงเนื่องปัญหาความสับสน
ในการใช้เหรียญที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับเหรียญบาท นอกจากนี้ กรมธนารักษ์ยังได้จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ เฉลิมพระชนมพรรษา 75 พรรษา 12 ส.ค.50 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์
ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ โดยมีการออกเหรียญกษาปณ์แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ 1) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกทองคำชนิดราคา
16,000 บาท ประเภทขัดเงา ราคาเหรียญละ 18,000 บาท ประเภทธรรมดา ราคาเหรียญละ 16,000 บาท 2) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก
เงินชนิดราคา 800 บาท ประเภทขัดเงา ราคาเหรียญละ 1,400 บาท ประเภทธรรมดา ราคาเหรียญละ 800 บาท 3) เหรียญกษาปณ์
ที่ระลึกโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทขัดเงา ราคาเหรียญละ 200 บาท ประเภทธรรมดาราคาเหรียญละ
20 บาท และ 4) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกโลหะสองสี (สีขาวและสีทอง) ชนิดราคา 10 บาท ประเภทธรรมดาราคาเหรียญละ 10 บาท
(ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีในเดือน มิ.ย.50 พุ่งสูงขึ้นร้อยละ 4.6 ต่อเดือนผิดจากที่คาดไว้ว่าจะลดลง รายงาน
จากเบอร์ลิน เมื่อ 6 ส.ค.50 ตัวเลขเบื้องต้นจาก ก.เศรษฐกิจของเยอรมนีชี้ว่าคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ต่อเดือน
ในเดือน มิ.ย.50 ในขณะที่ผลสำรวจรอยเตอร์ก่อนหน้านี้คาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.5 ต่อเดือน ในขณะเดียวกัน ก.เศรษฐกิจได้ปรับลดตัวเลข
อัตราการขยายตัวของคำสั่งซื้อในเดือน พ.ค.50 ลงเล็กน้อยเป็นขยายตัวร้อยละ 3.0 ต่อเดือน จากตัวเลขดังกล่าวข้างต้น รอยเตอร์คำนวณ
ว่าคำสั่งซื้อในช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.1 ต่อไตรมาส ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ขยายตัวถึงร้อยละ 8.7
ต่อเดือนในเดือน มิ.ย.50 สูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 46 โดยคำสั่งซื้อสินค้าทุนจากต่างประเทศขยายตัวถึงร้อยละ 13.2 ต่อเดือน และในจำนวนนี้
เป็นคำสั่งซื้อจากประเทศใน Euro zone ด้วยกันซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 38.5 ต่อเดือน (รอยเตอร์)
2. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 16 เดือน รายงานจากโตเกียวเมื่อ 6 ส.ค.50
The Cabinet Office เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของญี่ปุ่น (The diffusion index : DI) ซึ่งวัดจากตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ
ได้แก่ จำนวนการจ้างงาน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และราคาหุ้น ในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 80.0 จากระดับ 40.9 ในเดือน
ก่อนหน้า สูงสุดในรอบ 16 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.พ.49 ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 91.7 โดยดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้การขยายตัว
ของเศรษฐกิจ สะท้อนทิศทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น สำหรับ The coincident index ซึ่งเป็นดัชนีสำหรับชี้วัดสถานการณ์
เศรษฐกิจปัจจุบัน เพิ่มขึ้นที่ระดับ 77.8 จากระดับ 60.0 ในเดือนก่อนหน้า และอยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สะท้อนภาวะการ
ฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม The lagging index ซึ่งเป็นดัชนีสำหรับชี้วัดวัฏจักรเศรษฐกิจ กลับลดลงที่ระดับ 50.0 จากระดับ
100.0 ในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของอังกฤษช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค.50 ขยายตัวร้อยละ 0.8 รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อ
วันที่ 7 ส.ค.50 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NIESR) ของอังกฤษ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของอังกฤษใน
ช่วงเดือน พ.ค. — ก.ค.50 เติบโตร้อยละ 0.8 จาก 3 เดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงมีแนวโน้มขยายตัว
ในอัตราดังกล่าวข้างต้น แต่ NIESR คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในช่วงหลังของปีนี้และไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าในอนาคต
ธ.กลางอังกฤษจะเข้มงวดด้านนโยบายการเงินหรือไม่ ขณะที่ในมุมมองว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนั้น
NIESR มองว่าตัวเลขการขยายตัวดังกล่าวข้างต้นไม่ได้แสดงนัยตอบรับกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ ธ.กลางอังกฤษคง
อัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 5 ครั้ง นับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 จนปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.75 และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่า ธ.กลาง
อังกฤษจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 6 ก่อนสิ้นปีนี้ (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตจากโรงงานของอังกฤษเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ 6 ส.ค.50 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า ผลผลิตจากโรงงานของอังกฤษในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ตามที่
คาดการณ์ไว้และทำให้อัตราเพิ่มขึ้นเทียบต่อปีเป็นร้อยละ 0.9 นับเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งเป็นระยะเวลาการเพิ่มขึ้นยาวนานที่สุด
ในรอบ 8 ปี ขณะที่อัตราเพิ่มขึ้นช่วง 3 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 0.7 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 นับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิต ทั้งนี้
การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นแม้ว่าการแยกน้ำมันและก๊าซในเดือน มิ.ย. จะลดลงร้อยละ 1.3 เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันขนาดเล็กจำนวนมากเริ่มต้น
หยุดซ่อมแซมเครื่องจักรเร็วขึ้น และการผลิตก๊าซเริ่มเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้นหลังจากที่ผลิตมากขึ้นเป็นพิเศษในเดือน พ.ค. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ส.ค. 50 6 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.870 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6362/33.9703 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39750 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 815.87/18.17 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,700/10,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 68.86 70.09 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.79*/25.74** 28.79/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 4 ส.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ยอมรับวัตถุประสงค์การแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราจะช่วยให้การบริหารจัดการสินทรัพย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
คณะกรรมาธิการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาชี้แจง
จุดประสงค์ในการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราเมื่อวานนี้ (6 ส.ค.50) โดยผู้ว่าการ ธปท.ยอมรับว่า การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะช่วยให้
การบริหารจัดการสินทรัพย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ ธปท.สามารถล้างผลขาดทุนสะสมที่เกิดขึ้นจากการบริหารค่าเงิน โดยสาระ
สำคัญข้อหนึ่งของการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว คือ การปรับวิธีการลงบัญชี แยกระหว่างบัญชีกำไรขาดทุนจากการทำธุรกรรมซื้อขายสินทรัพย์
กับบัญชีกำไรขาดทุนที่ไม่ได้เกิดจากการทำธุรกรรม เช่น กรณีที่ผลขาดทุนเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสำรองในบัญชีทุนสำรอง
โดยจะเห็นว่าจากผลการดำเนินงานในปี 49 ของ ธปท.พบว่ามีผลขาดทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดเป็น
การขาดทุนที่เกิดจากการประเมินราคาสินทรัพย์ที่ลดลง เพราะค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับนี้เพื่อช่วยให้
ธปท.สามารถบริหารจัดการรายได้ได้ดีขึ้น เพราะเมื่อมีการแยกวิธีการลงบัญชีทำให้ ธปท.มีต้นทุนลดลง จะส่งผลให้ขาดทุนลดลงทำให้มีรายได้
พอที่จะนำส่งให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่ ธปท.ต้องรับผลการขาดทุนและดอกเบี้ย (โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท.เผยภายหลังอนุมัติให้นอนเรสิเดนท์เข้าทำสวอปในประเทศแล้ว 2 หมื่นล้านบาท จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสวอป
2 ตลาดใกล้กันมากขึ้น ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังจากที่ ธปท.อนุญาตให้
นอน เรสิเดนท์ในตลาดเงินบาทต่างประเทศ (ออฟชอร์) ที่มีธุรกรรมรองรับก่อนวันที่ 19 ธ.ค.49 เข้ามาทำสวอปในตลาดเงินบาท
ในประเทศ (ออนชอร์) ได้นั้น จะมีผลให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยการทำสวอปในตลาดออนชอร์และตลาดออฟชอร์ต่างกันไม่มากเหมือน
ในปัจจุบัน แต่ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนตลาดสปอตของตลาดออฟชอร์และออนชอร์น่าจะยังคงมีความต่างกันอยู่ โดยสาเหตุที่ทำให้อัตรา
แลกเปลี่ยนของ 2 ตลาดต่างกันมากในปัจจุบันที่ห่างกันกว่า 4 บาท จากที่เคยต่างกันในช่วงแรกที่มีมาตรการกันสำรองเพียงกว่า 1 บาทนั้น
ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ก่อนหน้านี้ ธปท.ได้มีมาตรการห้ามนักลงทุนนำเงินปันผลที่แลกเป็นเงินบาทออกไปลงทุนในตลาดออฟชอร์ ซึ่งโดย
ปกติแล้ว ส่วนของเงินปันผลจะมีจำนวนประมาณปีละ 6,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. มาตรการของ ธปท.ข้อนี้จึงทำให้ปริมาณเงินบาทในตลาด
ออฟชอร์มีน้อยลงส่งผลให้ค่าเงินบาทในออฟชอร์แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่นักเก็งกำไรอาจจะกังวลว่า ธปท.จะมี
มาตรการใดที่รุนแรงกระทบกับตลาดออกมาอีก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการลงทุนอยู่ในตลาดออฟชอร์จะมีโอกาสหาผลตอบแทนได้ดีกว่าเข้ามาลงทุน
ในออนชอร์ ขณะที่นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ยังไม่พบการเก็งกำไรค่าเงินบาทจากส่วนต่าง
ระหว่างออนชอร์และออฟชอร์ที่ห่างกัน 4 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
3. ที่ประชุม กกร.ชี้ยังประเมินผลงาน 6 มาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าไม่ได้ ต้องรออีก 1-2 เดือนข้างหน้า ประธาน
สมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวภายหลังการประชุมวานนี้ (6 ส.ค.)
ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงมาตรการที่ กกร.เสนอภาครัฐในการช่วยเหลือภาคเอกชนต่อกรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว
7 มาตรการ (โดยมีเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่รัฐดำเนินการไม่ได้) ถือว่ามาตรการที่รัฐออกมาช่วยเหลือผู้ส่งออกไม่ให้ลำบากมากขึ้น นับว่าทำให้
ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพดีขึ้น แต่หากจะประเมินค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้หรือไม่ ต้องรอดูอีก 1-2 เดือน ด้านนางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ
ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ทิศทางค่าเงินบาทในอนาคตจะแข็งขึ้นอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ
มุมมองของนักลงทุนต่างชาติว่าเห็นช่องทางโอกาสที่จะเข้าไปเก็งกำไรค่าเงินบาทได้แค่ไหน แต่เมื่อเทียบค่าเงินบาทที่จะกลับไปใกล้เคียง
กับปี 40 เป็นไปได้ยาก เนื่องจากหากเทียบค่าเงินบาทในขณะนี้ (6 ส.ค.) ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.กับค่าเงินบาทในช่วงปี 40
ที่ระดับ 25-26 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ถือว่ายังห่างไกลอีกมาก (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, แนวหน้า)
4. ดัชนีคาดการณ์ภาวะส่งออกและความสามารถในการแข่งขันช่วงไตรมาส 3 ปี 50 มีค่า 59.4 และ 52.6 ตามลำดับ
รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ส่งออกจำนวน 221 รายของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้าในไตรมาส 3 ของ
ปี 50 (ก.ค.-ก.ย.) พบว่า ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกและดัชนีความสามารถในการแข่งขันมีค่า 59.4 และ 52.6 ตามลำดับ
โดยผู้ประกอบการส่งออกคาดว่ามูลค่าการส่งออกในไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.3 ไม่เปลี่ยนแปลง ร้อยละ 44.3 และลดลงร้อยละ 18.4
ทำให้ดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกมีค่าเท่ากับ 59.4 แสดงว่าผู้ส่งออกยังมองว่าการส่งออกมีทิศทางที่ดี ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่งออกคาดการณ์
ความสามารถในการแข่งขันไตรมาส 3 ว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยร้อยละ 20.8 คาดว่าจะดีขึ้น ร้อยละ 63.6 คาดว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
และร้อยละ 15.6 คาดว่าจะลดลง ส่งผลให้ดัชนีดัชนีความสามารถในการแข่งขันมีค่า 52.6 (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, มติชน)
5. กรมธนารักษ์เตรียมรื้อโครงสร้างเหรียญทั้งระบบ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ในปี 51 กรมธนารักษ์จะมีการปรับปรุง
เหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนในระบบ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการผลิตเหรียญมีแนวโน้มราคาของวัสดุปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ใกล้เคียงกับราคาหน้าเหรียญ
และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าราคาหน้าเหรียญ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะจะทำให้มีผู้เก็บเหรียญออกจาก
ระบบแล้วนำไปหลอมใช้ประโยชน์อย่างอื่น โดยเหรียญสองบาท คือเหรียญชนิดแรกที่กรมธนารักษ์จะทำการปรับปรุงเนื่องปัญหาความสับสน
ในการใช้เหรียญที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับเหรียญบาท นอกจากนี้ กรมธนารักษ์ยังได้จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ เฉลิมพระชนมพรรษา 75 พรรษา 12 ส.ค.50 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์
ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ โดยมีการออกเหรียญกษาปณ์แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ 1) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกทองคำชนิดราคา
16,000 บาท ประเภทขัดเงา ราคาเหรียญละ 18,000 บาท ประเภทธรรมดา ราคาเหรียญละ 16,000 บาท 2) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก
เงินชนิดราคา 800 บาท ประเภทขัดเงา ราคาเหรียญละ 1,400 บาท ประเภทธรรมดา ราคาเหรียญละ 800 บาท 3) เหรียญกษาปณ์
ที่ระลึกโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทขัดเงา ราคาเหรียญละ 200 บาท ประเภทธรรมดาราคาเหรียญละ
20 บาท และ 4) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกโลหะสองสี (สีขาวและสีทอง) ชนิดราคา 10 บาท ประเภทธรรมดาราคาเหรียญละ 10 บาท
(ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีในเดือน มิ.ย.50 พุ่งสูงขึ้นร้อยละ 4.6 ต่อเดือนผิดจากที่คาดไว้ว่าจะลดลง รายงาน
จากเบอร์ลิน เมื่อ 6 ส.ค.50 ตัวเลขเบื้องต้นจาก ก.เศรษฐกิจของเยอรมนีชี้ว่าคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ต่อเดือน
ในเดือน มิ.ย.50 ในขณะที่ผลสำรวจรอยเตอร์ก่อนหน้านี้คาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.5 ต่อเดือน ในขณะเดียวกัน ก.เศรษฐกิจได้ปรับลดตัวเลข
อัตราการขยายตัวของคำสั่งซื้อในเดือน พ.ค.50 ลงเล็กน้อยเป็นขยายตัวร้อยละ 3.0 ต่อเดือน จากตัวเลขดังกล่าวข้างต้น รอยเตอร์คำนวณ
ว่าคำสั่งซื้อในช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.1 ต่อไตรมาส ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ขยายตัวถึงร้อยละ 8.7
ต่อเดือนในเดือน มิ.ย.50 สูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 46 โดยคำสั่งซื้อสินค้าทุนจากต่างประเทศขยายตัวถึงร้อยละ 13.2 ต่อเดือน และในจำนวนนี้
เป็นคำสั่งซื้อจากประเทศใน Euro zone ด้วยกันซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 38.5 ต่อเดือน (รอยเตอร์)
2. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 16 เดือน รายงานจากโตเกียวเมื่อ 6 ส.ค.50
The Cabinet Office เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของญี่ปุ่น (The diffusion index : DI) ซึ่งวัดจากตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ
ได้แก่ จำนวนการจ้างงาน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และราคาหุ้น ในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 80.0 จากระดับ 40.9 ในเดือน
ก่อนหน้า สูงสุดในรอบ 16 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.พ.49 ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 91.7 โดยดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้การขยายตัว
ของเศรษฐกิจ สะท้อนทิศทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น สำหรับ The coincident index ซึ่งเป็นดัชนีสำหรับชี้วัดสถานการณ์
เศรษฐกิจปัจจุบัน เพิ่มขึ้นที่ระดับ 77.8 จากระดับ 60.0 ในเดือนก่อนหน้า และอยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สะท้อนภาวะการ
ฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม The lagging index ซึ่งเป็นดัชนีสำหรับชี้วัดวัฏจักรเศรษฐกิจ กลับลดลงที่ระดับ 50.0 จากระดับ
100.0 ในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
3. จีดีพีของอังกฤษช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค.50 ขยายตัวร้อยละ 0.8 รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อ
วันที่ 7 ส.ค.50 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NIESR) ของอังกฤษ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของอังกฤษใน
ช่วงเดือน พ.ค. — ก.ค.50 เติบโตร้อยละ 0.8 จาก 3 เดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงมีแนวโน้มขยายตัว
ในอัตราดังกล่าวข้างต้น แต่ NIESR คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในช่วงหลังของปีนี้และไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าในอนาคต
ธ.กลางอังกฤษจะเข้มงวดด้านนโยบายการเงินหรือไม่ ขณะที่ในมุมมองว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนั้น
NIESR มองว่าตัวเลขการขยายตัวดังกล่าวข้างต้นไม่ได้แสดงนัยตอบรับกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ ธ.กลางอังกฤษคง
อัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 5 ครั้ง นับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 จนปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.75 และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่า ธ.กลาง
อังกฤษจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 6 ก่อนสิ้นปีนี้ (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตจากโรงงานของอังกฤษเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ 6 ส.ค.50 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า ผลผลิตจากโรงงานของอังกฤษในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ตามที่
คาดการณ์ไว้และทำให้อัตราเพิ่มขึ้นเทียบต่อปีเป็นร้อยละ 0.9 นับเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งเป็นระยะเวลาการเพิ่มขึ้นยาวนานที่สุด
ในรอบ 8 ปี ขณะที่อัตราเพิ่มขึ้นช่วง 3 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 0.7 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 นับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิต ทั้งนี้
การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นแม้ว่าการแยกน้ำมันและก๊าซในเดือน มิ.ย. จะลดลงร้อยละ 1.3 เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันขนาดเล็กจำนวนมากเริ่มต้น
หยุดซ่อมแซมเครื่องจักรเร็วขึ้น และการผลิตก๊าซเริ่มเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้นหลังจากที่ผลิตมากขึ้นเป็นพิเศษในเดือน พ.ค. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 ส.ค. 50 6 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.870 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6362/33.9703 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39750 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 815.87/18.17 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,700/10,800 10,700/10,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 68.86 70.09 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.79*/25.74** 28.79/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 4 ส.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--