ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. จำนวนนอนแบงก์ในช่วงไตรมาสแรกปี 50 ยังคงเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตชะลอลงสะท้อนพฤติกรรมการก่อหนี้มีแนวโน้ม
ลดลง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานจำนวนสำนักงานของนอนแบงก์ ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 50 พบว่ามีจำนวนสำนักงานสาขา
ทั้งสิ้น 515 สาขา เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนที่มี 432 สาขา หรือเพิ่มขึ้น 83 สาขา โดยแบ่งเป็นสำนักงานสาขาที่อยู่ในกรุงเทพฯ
215 สาขา ภาคกลาง 154 สาขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 53 สาขา ภาคเหนือ 48 สาขา และภาคใต้ 45 สาขา โดยพบว่า บริษัทเซทเทเลม
มีสาขาเพิ่มขึ้นถึง 61 สาขา สำหรับการให้บริการบัตรเครดิตของนอนแบงก์ ณ สิ้นเดือน ก.พ.50 มีจำนวนบัตรเครดิต 5,392,329 บัตร เพิ่มขึ้น
จากเดือนก่อน 19,588 บัตร มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวน 77,721.27 ล.บาท ลดลงจากเดือนก่อน 928.4 ล.บาท หรือลดลงร้อยละ 1.18
ทั้งนี้ ธปท.ระบุว่า สินเชื่อบัตรเครดิตแม้ว่าจะยังขยายตัวในเกณฑ์สูง แต่ก็มีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สัดส่วนยอดคงค้างของ
สินเชื่อต่อปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรก็ลดลงด้วย สะท้อนพฤติกรรมการก่อหนี้เทียบกับการใช้จ่ายเริ่มมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อเสถียรภาพ
ทางเศรษฐกิจ (โลกวันนี้)
2. ธปท.เตรียมตั้งคณะกรรมการติดตามทรัพย์สินคดีทุจริตสถาบันการเงิน ผู้อำนวยการสำนักคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ได้ร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เตรียมตั้งคณะกรรมการ
ติดตามทรัพย์สินคดีทุจริตสถาบันการเงิน เพื่อให้การติดตามคดีต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะคดีของ ธ.กรุงเทพฯ พาณิชย์การ
จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ที่ยือเยื้อเป็นเวลานาน โดยขั้นตอนต่อไปจะเสนอเรื่องให้ รมว.คลังพิจารณา และส่งเรื่องให้ นรม.อนุมัติต่อไป
ซึ่งคาดว่าขั้นตอนดังกล่าวจะเสร็จเรียบร้อยในเร็วๆ นี้ (ผู้จัดการรายวัน, ไทยรัฐ)
3. ธพ.เสนอ ธปท.ขอขยายเวลาการถือครองหุ้นที่ได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ กรรมการผู้จัดการ ธ.กสิกรไทย เปิดเผยถึง
การเข้าหรือกับ ธปท.ในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นการเข้าหารือเพื่อขอขยายเวลาการถือครองหุ้นที่ได้มาจากการปรับโครงสร้างหนี้ หลังจากที่
ธปท.ส่งหนังสือมายัง ธพ.ว่าจะไม่ขยายเวลาการถือครองหุ้นออกไปได้ ซึ่งหากธนาคารไม่สามารถขายหุ้นออกได้ทันอาจถูกเปรียบเทียบปรับได้
โดย ธปท.รับว่าจะนำไปพิจารณา โดยให้สมาคมธนาคารไทยร่างหลักเกณฑ์ที่จะใช้ในการพิจารณาผ่อนผันให้ลูกหนี้แต่ละราย เนื่องจากมีรายละเอียด
ที่เป็นความจำเป็นของ ธพ. ซึ่งเชื่อว่าสมาคมธนาคารไทยจะเสนอหลักการให้กับ ธปท.ได้ในเร็วๆ นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ก.คลังเสนอ ครม.ขยายเวลาการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ต่อไปอีกเป็นเวลา 1 ปี แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล
เปิดเผยว่า ในการประชุม ครม.วันที่ 8 พ.ค.นี้ ก.คลังจะเสนอร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษี
มูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่...) พ.ศ...ให้ที่ประชุม ครม.พิจารณา โดยจะกำหนดให้มีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้มีการจัดเก็บ
ในอัตรา 7% ต่อไปเป็นเวลา 1 ปี หรือจนถึงวันที่ 30 ก.ย.51 เนื่องจากเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังอยู่ในระยะการฟื้นตัว ประกอบกับ
มีปัจจัยที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น ราคาน้ำมัน ภัยธรรมชาติ เป็นต้น ส่งผลให้เศรษฐกิจที่ซบเซายังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ก.คลังจึงเห็นว่า
ยังมีความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนให้มีการขยายตัวในด้านการใช้จ่ายภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ก.คลังได้มีการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 10%
เป็น 7% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.42 — 30 ก.ย.48 และได้มีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมาจนถึงวันที่ 30 ก.ย.50 (กรุงเทพธุรกิจ,
ไทยโพสต์, ข่าวสด)
5. คาดว่าตลาดซื้อขายทองคำปี 50 จะซบเซากว่าปีที่ผ่านมา นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดการซื้อขาย
ทองคำในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ถือว่าค่อนข้างซบเซาลงมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยกำลังซื้อผู้บริโภคลดลงถึง 30% เป็นผลจากสถานการณ์
ราคาทองคำที่ยังผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยปรับขึ้นลงที่ระดับบาทละ 100-150 บาท ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจจับจ่ายออกไป
ประกอบกับยังมีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองเข้ามา โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มการจับจ่ายของผู้บริโภคจะ
กระเตื้องขึ้นแต่อย่างใด ทำให้คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดซื้อขายทองคำปีนี้จะแย่กว่าปีที่ผ่านมามาก (โลกวันนี้, ไทยโพสต์, มติชน)
6. คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศปี 50 จะลดลง 12% ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้การจำหน่าย
รถยนต์ในไทยชะลอตัวทั้งในส่วนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยในช่วง 3 เดือนแรกยอดขายรถยนต์ในไทยติดลบถึง 20% ทำให้ประเมินว่า
ในปีนี้ยอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะติดลบไม่น้อยกว่า 12% จากปีที่แล้วยอดขายติดลบ 3% อยู่ที่ 6.8 แสนคัน และคาดว่าปีนี้น่าจะอยู่ในระดับ
6-6.2 แสนคัน เนื่องจากประชาชนไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ด้านโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ผู้ประกอบการรถยนต์ที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท.ส่งประมาณการยอดขาย
ไตรมาส 2 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประเมินตลาดรถยนต์ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด และจากการประเมินตลาดในไตรมาสแรก แม้จะชะลอตัวลงบ้าง
แต่ทั้งปีคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย 7 แสนคัน เพราะภาครัฐพยายามกระตุ้นการใช้จ่ายอยู่ในขณะนี้ (โลกวันนี้, ข่าวสด)
1. คาดว่าจีดีพีของจีนในไตรมาส 2 จะขยายตัวร้อยละ 10.8 รายงานจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 พ.ค.50
ศูนย์ข้อมูลของรัฐ (State Information Center) ซึ่งเป็นสำนักงานวางแผนด้านเศรษฐกิจระดับสูงของรัฐบาลจีน คาดการณ์ว่า อัตรา
การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 10.8 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีน
ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัว
ร้อยละ 11.1 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นด้านการลงทุนและการส่งออก ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ทำให้คาดการณ์ว่า
อาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ในขณะที่ SIC ได้เสนอมาตรการหลายอย่างที่จะช่วยชะลอการขยายตัว
ของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไป อาทิ เร่งปรับสัดส่วนการนำเข้าและส่งออกเพื่อควบคุมไม่ให้มีการเกินดุลการค้ารวดเร็วเกินไป ให้ความสำคัญ
ในการพัฒนาตลาดทุนและกระตุ้นให้มีการเปิดบริษัทที่เกี่ยวกับการค้นคิดนวัตกรรมใหม่ๆ รอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
และการเพิ่มเงินสำรองของ ธพ. และสนับสนุนการลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ ที่มีผลตอบแทนน้อย เช่น การสร้างทางรถไฟ ถนน ท่าเรือ
และระบบการขนส่ง อนึ่ง เมื่อเดือนก่อนทางการจีนได้สั่งการเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือนให้ธนาคารต่าง ๆ เพิ่มอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคาร
ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่จะป้องกันไม่ให้การลงทุนและการให้สินเชื่อขยายตัวมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของจีน(รอยเตอร์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ. เพื่อการพัฒนาแห่งเอเซียมีนโยบายที่จะลดความยากจนลงอย่างต่อเนื่อง รายงานจากเกียวโตประเทศญี่ปุ่นเมื่อ
วันที่ 6 พ.ค. 50 นาย Haruhiko Kuroda ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank — ADB) เปิดเผยว่า
ADB มีเป้าหมายที่จะลดความยากจนลงอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกันก็จะพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมี
สภาพแวดล้อมที่ดี ทั้งนี้บรรดาประเทศสมาชิกของ ADB ต่างก็วิตกเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนรวย
และคนจนในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากเช่นนี้ควรที่จะเป็นไปอย่างทั่วถึงในทุกประเทศ ในขณะที่ตัวแทนของกลุ่มประเทศ
อุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายต่างมีเป้าหมายเบื้องต้นที่จะลดจำนวนผู้ยากจนลง ซึ่งนาย Kenneth Peel ตัวแทนของสรอ.
ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ ADB เช่นเดียวกับญี่ปุ่น กล่าวว่ากว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ยากจนอยู่ในภูมิภาคเอเชียและแม้ว่าเศรษฐกิจของหลาย
ประเทศในเอเชียอาทิ จีน และอินเดียจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ตาม ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นสิ่งท้าทายสำหรับทิศทางเชิงกลยุทธ์ของ ADB
ในอนาคต ทั้งนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างเรียกร้องให้ ADB พิจารณาจัดตั้งกองทุนของภูมิภาคเพื่อบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล
ของเอเชีย อย่างไรก็ตามเมื่อสุดสัปดาห์ ADB ได้ประกาศแผนที่จะใช้จ่ายอย่างน้อย 1 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.ใน clean energy project
ในปีหน้า (รอยเตอร์)
2. สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ย.49 ที่ร้อยละ 6.7 เทียบต่อปี รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 7 พ.ค.50 ธ.กลาง สรอ. เปิดเผยว่า สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้น 13.46 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
อยู่ที่จำนวน 2.425 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เทียบต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่า
จะเพิ่มขึ้นจำนวน 4.5 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. และนับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ย.49 ที่เคยเพิ่มขึ้นถึง 20.08 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
หรือร้อยละ 10.2 ขณะที่ตัวเลขสินเชื่อในเดือน ม.ค.และ ก.พ.ที่ผ่านมาภายหลังการทบทวนแล้วก็สูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเดือน ม.ค.และ
ก.พ.50 เพิ่มขึ้นจำนวน 8.42 และ 5.56 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ตามลำดับ ทั้งนี้ สาเหตุที่สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในเดือน มี.ค.เพิ่มขึ้น
เนื่องจากมียอดหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อการพักผ่อน และสินเชื่อเพื่อการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย revolving credit
(สินเชื่อบัตรเครดิตและค่าปรับ) ในเดือน มี.ค. 50 เพิ่มขึ้นจำนวน 6.77 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 นับเป็นการเพิ่มขึ้น
สูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ย.49 ส่วน nonrevolving credit (สินเชื่อเพื่อการบริโภคอื่น ๆ ) เพิ่มขึ้นจำนวน 6.69 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
หรือคิดเป็นร้อยละ 5.3 นับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน ม.ค.50 (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนผิดจากที่คาดไว้ว่าจะลดลง
ร้อยละ 0.5 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 7 พ.ค.50 ตัวเลขเบื้องต้นของ ก.เศรษฐกิจแสดงให้เห็นว่าคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานเพิ่มขึ้นหลัง
ปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ 2.4 ในเดือน มี.ค.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ผิดจากที่คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 0.5 จากผลสำรวจ
รอยเตอร์ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้คำสั่งซื้อเมื่อเทียบต่อไตรมาสเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ในไตรมาสแรกปี 50 หลังจากลดลงร้อยละ 0.4 ในไตรมาส
สุดท้ายปี 49 โดยคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลางเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป ในขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าสำหรับ
ผู้บริโภคลดลง ทั้งนี้คำสั่งซื้อสินค้าจากในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ต่อเดือน ในขณะที่คำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ต่อเดือน
ช่วยคลายความกังวลว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปี 50 จะชะลอตัวลงจากการขึ้นอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคหรือ VAT อีกร้อยละ 3.0
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจากตัวเลขคำสั่งซื้อที่ดีเกินคาด ทำให้คณะกรรมาธิการยุโรป
ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปี 50 เป็นร้อยละ 2.5 ต่อปี จากประมาณการครั้งก่อนในเดือน ก.พ.50
ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี และคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งภายในปี 50 นี้ ครั้งแรกในเดือน มิ.ย.50
เป็นร้อยละ 4.0 ต่อปี และอีกครั้งในเดือน ก.ย.50 เป็นร้อยละ 4.25 ต่อปี (รอยเตอร์)
4. คาดว่าจีดีพีของจีนในไตรมาส 2 จะขยายตัวร้อยละ 10.8 รายงานจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 พ.ค.50
ศูนย์ข้อมูลของรัฐ (State Information Center) ซึ่งเป็นสำนักงานวางแผนด้านเศรษฐกิจระดับสูงของรัฐบาลจีน คาดการณ์ว่า อัตราการ
ขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 10.8 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีน
ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัว
ร้อยละ 11.1 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นด้านการลงทุนและการส่งออก ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ทำให้คาดการณ์ว่า
อาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ในขณะที่ SIC ได้เสนอมาตรการหลายอย่างที่จะช่วยชะลอการขยายตัว
ของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไป อาทิ เร่งปรับสัดส่วนการนำเข้าและส่งออกเพื่อควบคุมไม่ให้มีการเกินดุลการค้ารวดเร็วเกินไป ให้ความสำคัญ
ในการพัฒนาตลาดทุนและกระตุ้นให้มีการเปิดบริษัทที่เกี่ยวกับการค้นคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ การเปลี่ยนแปลงใหม่ให้กับบริษัทของจีน รอคอยช่วง
เวลาที่เหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการเพิ่มเงินสำรองของ ธ.พาณิชย์ และสนับสนุนการลงทุนในสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่มีผล
ตอบแทนน้อย เช่น การสร้างทางรถไฟ ถนน ท่าเรือ และระบบการขนส่ง อนึ่ง เมื่อเดือนก่อนทางการจีนได้สั่งการเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน
ให้ธนาคารต่าง ๆ เพิ่มอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคาร ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่จะป้องกันไม่ให้การลงทุนและการให้สินเชื่อขยายตัว
มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของจีน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 8 พ.ค.50 4 พ.ค. 29 ธ.ค.49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.757 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5460/34.8793 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.14403 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 716.44/19.45 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,200/11,300 11,150/11,250 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 60.07 61.4 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.59*/25.34** 29.59*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50, ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. จำนวนนอนแบงก์ในช่วงไตรมาสแรกปี 50 ยังคงเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตชะลอลงสะท้อนพฤติกรรมการก่อหนี้มีแนวโน้ม
ลดลง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานจำนวนสำนักงานของนอนแบงก์ ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 50 พบว่ามีจำนวนสำนักงานสาขา
ทั้งสิ้น 515 สาขา เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนที่มี 432 สาขา หรือเพิ่มขึ้น 83 สาขา โดยแบ่งเป็นสำนักงานสาขาที่อยู่ในกรุงเทพฯ
215 สาขา ภาคกลาง 154 สาขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 53 สาขา ภาคเหนือ 48 สาขา และภาคใต้ 45 สาขา โดยพบว่า บริษัทเซทเทเลม
มีสาขาเพิ่มขึ้นถึง 61 สาขา สำหรับการให้บริการบัตรเครดิตของนอนแบงก์ ณ สิ้นเดือน ก.พ.50 มีจำนวนบัตรเครดิต 5,392,329 บัตร เพิ่มขึ้น
จากเดือนก่อน 19,588 บัตร มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวน 77,721.27 ล.บาท ลดลงจากเดือนก่อน 928.4 ล.บาท หรือลดลงร้อยละ 1.18
ทั้งนี้ ธปท.ระบุว่า สินเชื่อบัตรเครดิตแม้ว่าจะยังขยายตัวในเกณฑ์สูง แต่ก็มีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สัดส่วนยอดคงค้างของ
สินเชื่อต่อปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรก็ลดลงด้วย สะท้อนพฤติกรรมการก่อหนี้เทียบกับการใช้จ่ายเริ่มมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อเสถียรภาพ
ทางเศรษฐกิจ (โลกวันนี้)
2. ธปท.เตรียมตั้งคณะกรรมการติดตามทรัพย์สินคดีทุจริตสถาบันการเงิน ผู้อำนวยการสำนักคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ได้ร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เตรียมตั้งคณะกรรมการ
ติดตามทรัพย์สินคดีทุจริตสถาบันการเงิน เพื่อให้การติดตามคดีต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะคดีของ ธ.กรุงเทพฯ พาณิชย์การ
จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ที่ยือเยื้อเป็นเวลานาน โดยขั้นตอนต่อไปจะเสนอเรื่องให้ รมว.คลังพิจารณา และส่งเรื่องให้ นรม.อนุมัติต่อไป
ซึ่งคาดว่าขั้นตอนดังกล่าวจะเสร็จเรียบร้อยในเร็วๆ นี้ (ผู้จัดการรายวัน, ไทยรัฐ)
3. ธพ.เสนอ ธปท.ขอขยายเวลาการถือครองหุ้นที่ได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ กรรมการผู้จัดการ ธ.กสิกรไทย เปิดเผยถึง
การเข้าหรือกับ ธปท.ในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นการเข้าหารือเพื่อขอขยายเวลาการถือครองหุ้นที่ได้มาจากการปรับโครงสร้างหนี้ หลังจากที่
ธปท.ส่งหนังสือมายัง ธพ.ว่าจะไม่ขยายเวลาการถือครองหุ้นออกไปได้ ซึ่งหากธนาคารไม่สามารถขายหุ้นออกได้ทันอาจถูกเปรียบเทียบปรับได้
โดย ธปท.รับว่าจะนำไปพิจารณา โดยให้สมาคมธนาคารไทยร่างหลักเกณฑ์ที่จะใช้ในการพิจารณาผ่อนผันให้ลูกหนี้แต่ละราย เนื่องจากมีรายละเอียด
ที่เป็นความจำเป็นของ ธพ. ซึ่งเชื่อว่าสมาคมธนาคารไทยจะเสนอหลักการให้กับ ธปท.ได้ในเร็วๆ นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ก.คลังเสนอ ครม.ขยายเวลาการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ต่อไปอีกเป็นเวลา 1 ปี แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล
เปิดเผยว่า ในการประชุม ครม.วันที่ 8 พ.ค.นี้ ก.คลังจะเสนอร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษี
มูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่...) พ.ศ...ให้ที่ประชุม ครม.พิจารณา โดยจะกำหนดให้มีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้มีการจัดเก็บ
ในอัตรา 7% ต่อไปเป็นเวลา 1 ปี หรือจนถึงวันที่ 30 ก.ย.51 เนื่องจากเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังอยู่ในระยะการฟื้นตัว ประกอบกับ
มีปัจจัยที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น ราคาน้ำมัน ภัยธรรมชาติ เป็นต้น ส่งผลให้เศรษฐกิจที่ซบเซายังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ก.คลังจึงเห็นว่า
ยังมีความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนให้มีการขยายตัวในด้านการใช้จ่ายภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ก.คลังได้มีการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 10%
เป็น 7% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.42 — 30 ก.ย.48 และได้มีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมาจนถึงวันที่ 30 ก.ย.50 (กรุงเทพธุรกิจ,
ไทยโพสต์, ข่าวสด)
5. คาดว่าตลาดซื้อขายทองคำปี 50 จะซบเซากว่าปีที่ผ่านมา นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดการซื้อขาย
ทองคำในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ถือว่าค่อนข้างซบเซาลงมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยกำลังซื้อผู้บริโภคลดลงถึง 30% เป็นผลจากสถานการณ์
ราคาทองคำที่ยังผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยปรับขึ้นลงที่ระดับบาทละ 100-150 บาท ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจจับจ่ายออกไป
ประกอบกับยังมีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองเข้ามา โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มการจับจ่ายของผู้บริโภคจะ
กระเตื้องขึ้นแต่อย่างใด ทำให้คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดซื้อขายทองคำปีนี้จะแย่กว่าปีที่ผ่านมามาก (โลกวันนี้, ไทยโพสต์, มติชน)
6. คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศปี 50 จะลดลง 12% ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้การจำหน่าย
รถยนต์ในไทยชะลอตัวทั้งในส่วนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยในช่วง 3 เดือนแรกยอดขายรถยนต์ในไทยติดลบถึง 20% ทำให้ประเมินว่า
ในปีนี้ยอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะติดลบไม่น้อยกว่า 12% จากปีที่แล้วยอดขายติดลบ 3% อยู่ที่ 6.8 แสนคัน และคาดว่าปีนี้น่าจะอยู่ในระดับ
6-6.2 แสนคัน เนื่องจากประชาชนไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ด้านโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ผู้ประกอบการรถยนต์ที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท.ส่งประมาณการยอดขาย
ไตรมาส 2 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประเมินตลาดรถยนต์ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด และจากการประเมินตลาดในไตรมาสแรก แม้จะชะลอตัวลงบ้าง
แต่ทั้งปีคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย 7 แสนคัน เพราะภาครัฐพยายามกระตุ้นการใช้จ่ายอยู่ในขณะนี้ (โลกวันนี้, ข่าวสด)
1. คาดว่าจีดีพีของจีนในไตรมาส 2 จะขยายตัวร้อยละ 10.8 รายงานจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 พ.ค.50
ศูนย์ข้อมูลของรัฐ (State Information Center) ซึ่งเป็นสำนักงานวางแผนด้านเศรษฐกิจระดับสูงของรัฐบาลจีน คาดการณ์ว่า อัตรา
การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 10.8 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีน
ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัว
ร้อยละ 11.1 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นด้านการลงทุนและการส่งออก ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ทำให้คาดการณ์ว่า
อาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ในขณะที่ SIC ได้เสนอมาตรการหลายอย่างที่จะช่วยชะลอการขยายตัว
ของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไป อาทิ เร่งปรับสัดส่วนการนำเข้าและส่งออกเพื่อควบคุมไม่ให้มีการเกินดุลการค้ารวดเร็วเกินไป ให้ความสำคัญ
ในการพัฒนาตลาดทุนและกระตุ้นให้มีการเปิดบริษัทที่เกี่ยวกับการค้นคิดนวัตกรรมใหม่ๆ รอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
และการเพิ่มเงินสำรองของ ธพ. และสนับสนุนการลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ ที่มีผลตอบแทนน้อย เช่น การสร้างทางรถไฟ ถนน ท่าเรือ
และระบบการขนส่ง อนึ่ง เมื่อเดือนก่อนทางการจีนได้สั่งการเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือนให้ธนาคารต่าง ๆ เพิ่มอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคาร
ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่จะป้องกันไม่ให้การลงทุนและการให้สินเชื่อขยายตัวมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของจีน(รอยเตอร์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ธ. เพื่อการพัฒนาแห่งเอเซียมีนโยบายที่จะลดความยากจนลงอย่างต่อเนื่อง รายงานจากเกียวโตประเทศญี่ปุ่นเมื่อ
วันที่ 6 พ.ค. 50 นาย Haruhiko Kuroda ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank — ADB) เปิดเผยว่า
ADB มีเป้าหมายที่จะลดความยากจนลงอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกันก็จะพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมี
สภาพแวดล้อมที่ดี ทั้งนี้บรรดาประเทศสมาชิกของ ADB ต่างก็วิตกเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนรวย
และคนจนในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากเช่นนี้ควรที่จะเป็นไปอย่างทั่วถึงในทุกประเทศ ในขณะที่ตัวแทนของกลุ่มประเทศ
อุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายต่างมีเป้าหมายเบื้องต้นที่จะลดจำนวนผู้ยากจนลง ซึ่งนาย Kenneth Peel ตัวแทนของสรอ.
ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ ADB เช่นเดียวกับญี่ปุ่น กล่าวว่ากว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ยากจนอยู่ในภูมิภาคเอเชียและแม้ว่าเศรษฐกิจของหลาย
ประเทศในเอเชียอาทิ จีน และอินเดียจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ตาม ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นสิ่งท้าทายสำหรับทิศทางเชิงกลยุทธ์ของ ADB
ในอนาคต ทั้งนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างเรียกร้องให้ ADB พิจารณาจัดตั้งกองทุนของภูมิภาคเพื่อบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล
ของเอเชีย อย่างไรก็ตามเมื่อสุดสัปดาห์ ADB ได้ประกาศแผนที่จะใช้จ่ายอย่างน้อย 1 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.ใน clean energy project
ในปีหน้า (รอยเตอร์)
2. สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ย.49 ที่ร้อยละ 6.7 เทียบต่อปี รายงานจาก
วอชิงตัน เมื่อ 7 พ.ค.50 ธ.กลาง สรอ. เปิดเผยว่า สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้น 13.46 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
อยู่ที่จำนวน 2.425 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เทียบต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่า
จะเพิ่มขึ้นจำนวน 4.5 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. และนับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ย.49 ที่เคยเพิ่มขึ้นถึง 20.08 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
หรือร้อยละ 10.2 ขณะที่ตัวเลขสินเชื่อในเดือน ม.ค.และ ก.พ.ที่ผ่านมาภายหลังการทบทวนแล้วก็สูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเดือน ม.ค.และ
ก.พ.50 เพิ่มขึ้นจำนวน 8.42 และ 5.56 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ตามลำดับ ทั้งนี้ สาเหตุที่สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในเดือน มี.ค.เพิ่มขึ้น
เนื่องจากมียอดหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อการพักผ่อน และสินเชื่อเพื่อการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย revolving credit
(สินเชื่อบัตรเครดิตและค่าปรับ) ในเดือน มี.ค. 50 เพิ่มขึ้นจำนวน 6.77 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 นับเป็นการเพิ่มขึ้น
สูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ย.49 ส่วน nonrevolving credit (สินเชื่อเพื่อการบริโภคอื่น ๆ ) เพิ่มขึ้นจำนวน 6.69 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
หรือคิดเป็นร้อยละ 5.3 นับเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่เดือน ม.ค.50 (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนผิดจากที่คาดไว้ว่าจะลดลง
ร้อยละ 0.5 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 7 พ.ค.50 ตัวเลขเบื้องต้นของ ก.เศรษฐกิจแสดงให้เห็นว่าคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานเพิ่มขึ้นหลัง
ปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ 2.4 ในเดือน มี.ค.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ผิดจากที่คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 0.5 จากผลสำรวจ
รอยเตอร์ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้คำสั่งซื้อเมื่อเทียบต่อไตรมาสเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ในไตรมาสแรกปี 50 หลังจากลดลงร้อยละ 0.4 ในไตรมาส
สุดท้ายปี 49 โดยคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลางเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป ในขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าสำหรับ
ผู้บริโภคลดลง ทั้งนี้คำสั่งซื้อสินค้าจากในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ต่อเดือน ในขณะที่คำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ต่อเดือน
ช่วยคลายความกังวลว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปี 50 จะชะลอตัวลงจากการขึ้นอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคหรือ VAT อีกร้อยละ 3.0
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจากตัวเลขคำสั่งซื้อที่ดีเกินคาด ทำให้คณะกรรมาธิการยุโรป
ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในปี 50 เป็นร้อยละ 2.5 ต่อปี จากประมาณการครั้งก่อนในเดือน ก.พ.50
ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี และคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งภายในปี 50 นี้ ครั้งแรกในเดือน มิ.ย.50
เป็นร้อยละ 4.0 ต่อปี และอีกครั้งในเดือน ก.ย.50 เป็นร้อยละ 4.25 ต่อปี (รอยเตอร์)
4. คาดว่าจีดีพีของจีนในไตรมาส 2 จะขยายตัวร้อยละ 10.8 รายงานจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 พ.ค.50
ศูนย์ข้อมูลของรัฐ (State Information Center) ซึ่งเป็นสำนักงานวางแผนด้านเศรษฐกิจระดับสูงของรัฐบาลจีน คาดการณ์ว่า อัตราการ
ขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 10.8 ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีน
ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคจะขยายตัวร้อยละ 2.9 ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัว
ร้อยละ 11.1 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นด้านการลงทุนและการส่งออก ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ทำให้คาดการณ์ว่า
อาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ในขณะที่ SIC ได้เสนอมาตรการหลายอย่างที่จะช่วยชะลอการขยายตัว
ของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไป อาทิ เร่งปรับสัดส่วนการนำเข้าและส่งออกเพื่อควบคุมไม่ให้มีการเกินดุลการค้ารวดเร็วเกินไป ให้ความสำคัญ
ในการพัฒนาตลาดทุนและกระตุ้นให้มีการเปิดบริษัทที่เกี่ยวกับการค้นคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ การเปลี่ยนแปลงใหม่ให้กับบริษัทของจีน รอคอยช่วง
เวลาที่เหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการเพิ่มเงินสำรองของ ธ.พาณิชย์ และสนับสนุนการลงทุนในสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่มีผล
ตอบแทนน้อย เช่น การสร้างทางรถไฟ ถนน ท่าเรือ และระบบการขนส่ง อนึ่ง เมื่อเดือนก่อนทางการจีนได้สั่งการเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน
ให้ธนาคารต่าง ๆ เพิ่มอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคาร ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่จะป้องกันไม่ให้การลงทุนและการให้สินเชื่อขยายตัว
มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของจีน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 8 พ.ค.50 4 พ.ค. 29 ธ.ค.49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.757 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5460/34.8793 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.14403 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 716.44/19.45 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,200/11,300 11,150/11,250 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 60.07 61.4 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.59*/25.34** 29.59*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 3 พ.ค. 50, ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--