ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยุติลงได้ด้วยการทำความเข้าใจ
นายเจะอามิง โตะตาหยง
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ / อดีต สส.นราธิวาส
ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสัญญาณเตือนรัฐบาลที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับปัญหาความรุนแรงที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าอดีต และเป็นปัญหาที่ท้าทายอำนาจรัฐอย่างไม่เคยมีมาก่อน หากยังปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ มีแต่จะทำให้ปัญหาหนักหน่วงยิ่งขึ้น
ทำให้อนาคตกับการแก้ปัญหาจะยิ่งลำบากตามไปด้วย หากอำนาจรัฐยังไม่สามารถแสดงถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว จะมีผลทำให้ปัญหาอื่นประดังเข้ามาอีกรอบด้าน โดยเฉพาะ ศอบต. เป็นหน่วยงานส่วนหน้าต้องรีบทำความเข้าใจกับประชาชนในนามภาครัฐ ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ ในฐานะผู้ปฏิบัติในพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อน
สิ่งที่สำคัญรัฐต้องรับฟังปัญหาในพื้นที่ โดยประชาชนมีส่วนร่วม แต่ต้องไม่เป็นการคิดแก้ปัญหาในรูปแบบศูนย์กลางรัฐ โดยคิดเอง ทำเอง แก้เอง ที่อาจจะทำให้ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างที่เป็นมาก่อนหน้ารัฐบาลนี้
ความรู้สึกของประชาชนผู้บริสุทธิ์เสมือนหนึ่งถูกรัฐละทิ้งในสถานการณ์ปัจจุบัน กระบวนการคิดอย่างนี้ในความรู้สึกของประชาชนเริ่มมีขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้
หากจะมองให้ลึกลงในปัญหาจริงแล้ว เกิดจากความห่างเหินของเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปกครองกับประชาชนในพื้นที่ ในช่วงระยะหลัง ตัวแทนของรัฐที่จะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนมีน้อยมาก เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ เกิดเหตุรุนแรงขึ้นเป็นระยะ ๆ จนตัวแทนของรัฐเอง รู้สึกว่า ตัวเองก็ไม่ค่อยจะมีความปลอดภัย จึงห่างเหินการลงพื้นที่เพื่อสัมผัสกับประชาชน รับทราบปัญหาโดยตรงทำให้เกิดช่องว่าง ระหว่างประชาชนกับภาครัฐ
ในขณะที่ฝ่ายกองกำลังที่ลงไปให้ความคุ้มครองประชาชนในพื้นที่ กลับถูกมองอย่างหวาดระแวง ไม่ไว้ใจต่อกัน จากประชาชน
ความหางเหิน ความหวาดระแวง จึงทำให้เกิดช่องวางขึ้นระหว่างภาครัฐกับประชาชน
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม พยายามสร้างสถานการณ์ความรุนแรงให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้กดความรู้สึกของประชาชนว่า รัฐไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่
การแก้ปัญหาภาคใต้ รัฐต้องพึงระวังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลง ปัญหาก็ได้แปรเปลี่ยนไป ไม่เหมือนปัญหาเดิม การรับฟังข้อมูล ความคิดเดิม รัฐต้องเปลี่ยนฐานความคิดให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน
การแก้ปัญหาในรูปแบบสมานฉันท์ จะให้เป็นรูปธรรม เห็นผลทันตาเห็นที่เดียวอย่างที่หลายฝ่ายยากเห็นคงจะไม่ใช่ แต่เชื่อว่าจะต้องใช่ระยะเวลา เพราะเงื่อนไขของปัญหา ที่สะสมกันมาในระยะ สี่ ห้า ปี ที่ผ่านมาเป็นทุนเดิมยังมีอยู่ เงื่อนไขใหม่ เพื่อกดดันรัฐ ประดั่งมาเพิ่มเติม
อย่างกรณีประชาชนไม่กล้าอาศัยอยู่ในพื้นที่ มารวมตัวกัน เรียกร้องรัฐขอให้คุ้มครองและให้ความมั่นใจในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นสถานการณ์กดดันรัฐ เพื่อแสดงให้เห็นว่าอำนาจรัฐยังไม่สามารถให้ ความคุ้มครองเขาได้
ในอีกด้านหนึ่ง ขณะที่รัฐเองได้ส่งหน่วยกองกำลังลงไปอยู่ในพื้นที่กันมากมาย แต่ยังมีสถานการณ์ใหม่ ประชาชนอพยพ ย้ายถิ่นฐาน เกิดขึ้นอีก
แสดงให้เห็นว่าการใช้กองกำลังในการปราบปราม ก็ยังไม่เป็นผล กองกำลังเป็นเครื่องมือหนึ่ง เพื่อแสดงถึงอำนาจแห่งรัฐ มากกว่าการที่จะชนะจิตใจประชาชน
ระวัง การใช้อำนาจรัฐแบบสุดขั้ว ในการแก้ปัญหาภาคใต้ อย่างที่มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ใช้การแก้ปัญหาต้องกลับไปดูเป็นบทเรียน นโยบายรัฐภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณฯเป็นรัฐบาล อะไรทำให้มวลชนกลายเป็นปฏิปักษ์กับรัฐเสียเอง
การกดดัน ค้นหาและทำลาย หลายครั้งหลายหนได้กลายเป็นเงื่อนไข สาเหตุมาจากการได้ข้อมูลที่ปรุงแต่ง เพื่อสร้างและทำลาย จนกลายเป็นเงื่อนไขเพิ่ม รัฐต้องพึงระวังให้มากกับการใช้อำนาจโดยอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ
แนวทางสมานฉันท์ แม้นจะเป็นเครื่องมือที่ดูแล้วจะล้าช้าบ้างในการแก้ปัญหา แต่ผลในระยะยาว เชื่อว่าเป็นหนทางที่ดีกว่าแนวทางอื่น
ประวัติศาสตร์ความรุนแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นเกือบทุกมุมโลก ยุติลงได้ด้วยการสมานฉันท์และการเจรจา ทำความเข้าใจ ไม่เคยมีชัยชนะของสงครามยุติลงได้ด้วยการประหัตประหารทำลายชีวิตมนุษยชาติด้วยกันเอง*
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ม.ค. 2550--จบ--
นายเจะอามิง โตะตาหยง
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ / อดีต สส.นราธิวาส
ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นสัญญาณเตือนรัฐบาลที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับปัญหาความรุนแรงที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าอดีต และเป็นปัญหาที่ท้าทายอำนาจรัฐอย่างไม่เคยมีมาก่อน หากยังปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ มีแต่จะทำให้ปัญหาหนักหน่วงยิ่งขึ้น
ทำให้อนาคตกับการแก้ปัญหาจะยิ่งลำบากตามไปด้วย หากอำนาจรัฐยังไม่สามารถแสดงถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว จะมีผลทำให้ปัญหาอื่นประดังเข้ามาอีกรอบด้าน โดยเฉพาะ ศอบต. เป็นหน่วยงานส่วนหน้าต้องรีบทำความเข้าใจกับประชาชนในนามภาครัฐ ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ ในฐานะผู้ปฏิบัติในพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อน
สิ่งที่สำคัญรัฐต้องรับฟังปัญหาในพื้นที่ โดยประชาชนมีส่วนร่วม แต่ต้องไม่เป็นการคิดแก้ปัญหาในรูปแบบศูนย์กลางรัฐ โดยคิดเอง ทำเอง แก้เอง ที่อาจจะทำให้ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างที่เป็นมาก่อนหน้ารัฐบาลนี้
ความรู้สึกของประชาชนผู้บริสุทธิ์เสมือนหนึ่งถูกรัฐละทิ้งในสถานการณ์ปัจจุบัน กระบวนการคิดอย่างนี้ในความรู้สึกของประชาชนเริ่มมีขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้
หากจะมองให้ลึกลงในปัญหาจริงแล้ว เกิดจากความห่างเหินของเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปกครองกับประชาชนในพื้นที่ ในช่วงระยะหลัง ตัวแทนของรัฐที่จะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนมีน้อยมาก เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ เกิดเหตุรุนแรงขึ้นเป็นระยะ ๆ จนตัวแทนของรัฐเอง รู้สึกว่า ตัวเองก็ไม่ค่อยจะมีความปลอดภัย จึงห่างเหินการลงพื้นที่เพื่อสัมผัสกับประชาชน รับทราบปัญหาโดยตรงทำให้เกิดช่องว่าง ระหว่างประชาชนกับภาครัฐ
ในขณะที่ฝ่ายกองกำลังที่ลงไปให้ความคุ้มครองประชาชนในพื้นที่ กลับถูกมองอย่างหวาดระแวง ไม่ไว้ใจต่อกัน จากประชาชน
ความหางเหิน ความหวาดระแวง จึงทำให้เกิดช่องวางขึ้นระหว่างภาครัฐกับประชาชน
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม พยายามสร้างสถานการณ์ความรุนแรงให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้กดความรู้สึกของประชาชนว่า รัฐไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่
การแก้ปัญหาภาคใต้ รัฐต้องพึงระวังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ที่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลง ปัญหาก็ได้แปรเปลี่ยนไป ไม่เหมือนปัญหาเดิม การรับฟังข้อมูล ความคิดเดิม รัฐต้องเปลี่ยนฐานความคิดให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน
การแก้ปัญหาในรูปแบบสมานฉันท์ จะให้เป็นรูปธรรม เห็นผลทันตาเห็นที่เดียวอย่างที่หลายฝ่ายยากเห็นคงจะไม่ใช่ แต่เชื่อว่าจะต้องใช่ระยะเวลา เพราะเงื่อนไขของปัญหา ที่สะสมกันมาในระยะ สี่ ห้า ปี ที่ผ่านมาเป็นทุนเดิมยังมีอยู่ เงื่อนไขใหม่ เพื่อกดดันรัฐ ประดั่งมาเพิ่มเติม
อย่างกรณีประชาชนไม่กล้าอาศัยอยู่ในพื้นที่ มารวมตัวกัน เรียกร้องรัฐขอให้คุ้มครองและให้ความมั่นใจในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นสถานการณ์กดดันรัฐ เพื่อแสดงให้เห็นว่าอำนาจรัฐยังไม่สามารถให้ ความคุ้มครองเขาได้
ในอีกด้านหนึ่ง ขณะที่รัฐเองได้ส่งหน่วยกองกำลังลงไปอยู่ในพื้นที่กันมากมาย แต่ยังมีสถานการณ์ใหม่ ประชาชนอพยพ ย้ายถิ่นฐาน เกิดขึ้นอีก
แสดงให้เห็นว่าการใช้กองกำลังในการปราบปราม ก็ยังไม่เป็นผล กองกำลังเป็นเครื่องมือหนึ่ง เพื่อแสดงถึงอำนาจแห่งรัฐ มากกว่าการที่จะชนะจิตใจประชาชน
ระวัง การใช้อำนาจรัฐแบบสุดขั้ว ในการแก้ปัญหาภาคใต้ อย่างที่มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ใช้การแก้ปัญหาต้องกลับไปดูเป็นบทเรียน นโยบายรัฐภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณฯเป็นรัฐบาล อะไรทำให้มวลชนกลายเป็นปฏิปักษ์กับรัฐเสียเอง
การกดดัน ค้นหาและทำลาย หลายครั้งหลายหนได้กลายเป็นเงื่อนไข สาเหตุมาจากการได้ข้อมูลที่ปรุงแต่ง เพื่อสร้างและทำลาย จนกลายเป็นเงื่อนไขเพิ่ม รัฐต้องพึงระวังให้มากกับการใช้อำนาจโดยอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ
แนวทางสมานฉันท์ แม้นจะเป็นเครื่องมือที่ดูแล้วจะล้าช้าบ้างในการแก้ปัญหา แต่ผลในระยะยาว เชื่อว่าเป็นหนทางที่ดีกว่าแนวทางอื่น
ประวัติศาสตร์ความรุนแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นเกือบทุกมุมโลก ยุติลงได้ด้วยการสมานฉันท์และการเจรจา ทำความเข้าใจ ไม่เคยมีชัยชนะของสงครามยุติลงได้ด้วยการประหัตประหารทำลายชีวิตมนุษยชาติด้วยกันเอง*
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ม.ค. 2550--จบ--