กรุงเทพ--24 พ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ (23 พฤษภาคม) 2550 นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุมกรมสารนิเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่าง ๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมประชุม ASEM FMM ครั้งที่ 8
นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 (8th ASEM Foreign Ministers Meeting) ระหว่างวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2550 ณ เมืองฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับรัฐมนตรีต่างประเทศของเอเชียและยุโรป และหารือเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคและประเด็นระหว่างประเทศที่สำคัญๆ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการดำเนินงานของ Asia-Europe Meeting (ASEM) ในอนาคต
การประชุม ASEM FMM ในครั้งนี้ เน้น 3 ประเด็นหลัก คือ 1) ประเด็นด้านการเมือง อาทิ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง คาบสมุทรเกาหลี และการต่อต้านการก่อการร้าย 2) ประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม/วัฒนธรรม อาทิ การส่งเสริมโอกาสทางการค้าและการลงทุน พลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษา และความแตกต่างด้านวัฒนธรรม และ 3) การประสาน งานในกรอบอาเซม เช่น การดำเนินการของมูลนิธิเอเชีย-ยุโรป หรือ ASEF โดยอาศัยแนวทางจากผลการประชุมระดับผู้นำครั้งที่ 6 ที่กรุงเฮลซิงกิ เมื่อเดือนกันยายน 2549
ในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะกล่าวนำหัวข้อ มิติทางสังคม โดยเน้นเรื่องการศึกษา และความแตกต่างทางวัฒนธรรมและอารยธรรม เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างกันโดยเฉพาะในระดับเยาวชนของสองภูมิภาค และจะเป็นผู้กล่าวตอบในหัวข้อ พัฒนาการในยุโรป โดยเน้นเรื่องสหภาพยุโรปครบรอบ 50 ปี และความร่วมมือระหว่างสองภูมิภาคในอนาคต และจะได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการเมืองและเศรษฐกิจในไทย โดยเฉพาะความคืบหน้าในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะใช้โอกาสในระหว่างการประชุมดังกล่าว หารือระดับทวิภาคีกับประเทศสมาชิกทั้งฝ่ายเอเชียและยุโรป อาทิ สวีเดน โปรตุเกส จีน และสิงคโปร์ เป็นต้น
2. กต.สนับสนุนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงสร้างอาชีพแก่ชาวอาเจห์ ลดปัญหาการปลูกพืชเสพติด
กระทรวงการต่างประเทศ โดยสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) สนับสนุนเงินจำนวน 5.29 ล้านบาทแก่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ในการจัดทำโครงการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนที่จังหวัดอาเจห์ ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสร้างอาชีพแก่ชาวอาเจห์ และลดการปลูกพืชเสพติด
โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อลดและขจัดการปลูกพืชเสพติด โดยการใช้มาตรการรณรงค์และเสริมสร้างกิจกรรม/อาชีพอื่นแก่ประชาชนในพื้นที่โครงการ ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้เริ่มกิจกรรมนำร่องแล้วระหว่างวันที่ 11 เมษายน — 10 พฤษภาคม 2550 โดยได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านมาลาเรียเข้าไปรักษาและให้ความรู้เพื่อป้องกันโรคมาลาเรีย ในหมู่บ้าน Lamteuba จ.อาเจห์ และสนับสนุนการส่งช่างไม้ที่มีประสบการณ์จากบันดา อาเจห์ ไปให้การอบรมด้านงานไม้ให้แก่ชาว จ.อาเจห์ รวมทั้งได้มอบอุปกรณ์และยารักษาโรคมาลาเรียให้แก่ จ.อาเจห์ อีกด้วย ซึ่งการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนในพื้นที่ และผู้ประสานงานที่เกี่ยวข้อง นับว่าโครงการนำร่องประสบความสำเร็จด้วยดี นอกจากนี้ มูลนิธิฯ มีแผนที่จะให้ความร่วมมือแก่ จ.อาเจห์ในเรื่องเกี่ยวกับการเกษตร การสร้างอาชีพโดยการทำอิฐบล็อก และการทำถนน (ต้นทุนต่ำ) ด้วย
กระทรวงการต่างประเทศเชื่อว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย รวมทั้งเป็นการให้ความช่วยเหลือ จ.อาเจห์ในการสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยสึนามิอีกด้วย
3. กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนโครงการขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ให้แก่ผู้พิการชาวมาเลเซีย
กระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง ร่วมกับมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมาคม Che Hoon Khor แห่งมาเลเซีย ได้ร่วมกันจัดโครงการบริจาคขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ให้แก่ผู้พิการด้อยโอกาสชาวมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 13 — 14 พฤษภาคม 2550 ณ เมืองปีนัง สถานกงสุลใหญ่ฯ เคยร่วมกับสมาคม Che Hoon Khor ของมาเลเซียจัดโครงการนี้ที่รัฐเคดาห์ เมื่อปี 2546 และรัฐยะโฮร์ เมื่อปี 2548 ด้วย
ในปีนี้ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิขาเทียมฯ จำนวน 110 คน ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล ช่างเทคนิค และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ได้เดินทางไปมาเลเซียเพี่อช่วยเหลือผู้ป่วยชาวมาเลเซียเป็นจำนวน 199 ราย ซึ่งสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้จัดอาสาสมัครล่ามภาษาอังกฤษ มาเลเซีย จีน และอินเดีย จำนวน 30 คน ไว้ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยที่มาขอรับบริการ
การบริจาคขาเทียมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ไทย — มาเลเซีย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนให้มีความกระชับแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
4. ไทยมอบเงิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยเหลือผู้ประสบแผ่นดินไหวในอินโดนีเซีย
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550 นางอัจฉรา เสริบุตร เอกอัครราชทูตไทยประจำอินโดนีเซีย เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยมอบเช็คมูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่นาย Primo Alui Joelianto อธิบดีกิจการเอเชีย-แปซิฟิกและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดสุมาตราตะวันตก เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2550
รัฐบาลไทยมอบเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือในการสร้างที่พักชั่วคราว และฟื้นฟูสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่เสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว อันเป็นการสะท้อนถึงความปรารถนาดีของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวอินโดนีเซียอย่างจริงใจให้สามารถกลับมาดำรงชีวิตตามปกติได้อีกครั้งหนึ่ง
5. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต จัดกิจกรรมทางพุทธศาสนาในวันวิสาขบูชาปี 2550 เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษา
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมานว่า สถานเอกอัครราชทูตฯ จะจัดกิจกรรมทางพุทธศาสนาในวันวิสาขบูชาในวันที่ 31 พฤษภาคม 2550 เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาและเชิญชวนชาวไทยในรัฐสุลต่านโอมานร่วมสวดมนต์ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นกิจกรรมร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา (5 ธันวาคม 2550)
ในโอกาสนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานขอให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อนิมนต์พระภิกษุ 2 รูปเดินทางไปประกอบศาสนกิจในโอกาสดังกล่าวด้วย ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้อาราธนาพระราชปฏิภาณมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยูรวงศาวาส กรุงเทพฯ และพระมหาไพเราะ ฐิตสีโล สังกัดวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เดินทางไปประกอบศาสนกิจฯ ข้างต้น
อนึ่ง ปัจจุบันมีคนไทยพำนักอยู่ในรัฐสุลต่านโอมานประมาณ 300 คน ประกอบด้วยคนไทยที่ทำงานในบริษัทท้องถิ่นและต่างชาติ คนไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ เจ้าหน้าที่บริษัทการบินไทย เจ้าหน้าที่บริษัท ปตท.สผ. และข้าราชการสถานเอกอัครราชทูตฯ ทั้งนี้ คนไทยในรัฐสุลต่านโอมานส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชน แต่ประสบปัญหาไม่มีสถานที่ประกอบศาสนกิจ เนื่องจากไม่มีวัดพุทธ ดังนั้น ในแต่ละปีที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้จัดงานวันวิสาขบูชาโดยประสานกับสถานเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำรัฐสุลต่านโอมานในการนิมนต์พระสงฆ์ไปประกอบศาสนพิธีฯ
6. กิจกรรมการฉลองโอกาสครบรอบ 10 ปี การก่อตั้งกรอบความร่วมมือ BIMSTEC: “โครงการประกวดวาดภาพระดับมัธยมศึกษาเพื่อจัดพิมพ์เป็นไปรษณียบัตรบิมสเทค” หรือ “Discover BIMSTEC Postcard” Design Competition”
ในโอกาสครบรอบ 10 ปี การก่อตั้ง BIMSTEC ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ที่ไทยเป็นผู้ริเริ่มขึ้น และมีประเทศแถบอ่าวเบงกอลเข้าร่วมเป็นสมาชิก ได้แก่ พม่า อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ เนปาล และภูฏาน กระทรวงการต่างประเทศจึงขอเชิญชวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ร่วมประกวดออกแบบภาพวาดที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์หรือวิถีชีวิตของไทย โดยสามารถใช้สีชนิดใดก็ได้ เพื่อนำไปจัดพิมพ์เป็นไปรษณียบัตรบิมสเทค ร่วมกับภาพวาดของประเทศสมาชิก โดยผู้ชนะการประกวดจะได้รับรางวัลเงินสด 5,000 บาท และโล่เกียรติยศ จากกระทรวงการต่างประเทศ
ผู้สนใจสามารถส่งผลงานได้ที่กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ภายในวันที่ 12 มิถุนายน 2550 และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2643 5000 ต่อ 4028 หรือทางเว็บไซต์ www.mfa.go.th/web/410.php และ www.bimstec.org
7. บทบาทกระทรวงการต่างประเทศในการเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนามาตรฐานสินค้าไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ
กระทรวงการต่างประเทศตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะสำหรับสินค้าไทยในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯพัฒนาความสามารถในการผลิตสินค้าให้ได้ตรงตามมาตรฐานที่สหรัฐฯ กำหนด และสามารถตอบสนองความต้องการของ ตลาดผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้ จึงได้เริ่มดำเนินโครงการส่งเสริมขีดความสามารถทางการค้าและความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเมื่อปี 2549 กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านมาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และการประเมินความสอดคล้องของสหรัฐฯ สองครั้ง ในเดือนมีนาคมและเดือนสิงหาคม 2549 โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานจากสหรัฐฯ มาเป็นวิทยากร ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับภาพรวมระบบมาตรฐานของสหรัฐฯ ตลอดจนลงรายละเอียดในบางสาขาอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก และในสาขาที่ผู้ประกอบการไทย ให้ความสนใจขอรับข้อมูลจากฝ่ายสหรัฐฯ เช่น สินค้าอาหารและเกษตรกรรม สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง รวมถึงรถยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น
การสัมมนาฯ ในปี 2549 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยเข้าใจมาตรฐานสินค้าสหรัฐฯ เพื่อจะได้สามารถผลิตสินค้าให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด และช่วยเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันในภาพรวมของผู้ประกอบการไทยด้วย
ต่อมากระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามผลในเรื่องนี้ โดยได้ดำเนินโครงการย่อยเพื่อส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมอีกในปี 2550 เพื่อให้กระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองของผู้ประกอบการไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ภายใต้โครงการ Trade Capacity Building/ SMEs โดยในปีนี้ จะเน้นการดำเนินโครงการที่ลงไปในรายสาขาอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับข้อมูลองค์ความรู้ในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น เช่น จะร่วมมือกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอจัดการเดินทางให้คณะผู้แทนจากภาครัฐและสถาบันฯ ไปเข้ารับการฝึกอบรมในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับหลักสูตรด้านสิ่งทอของสหรัฐฯ พร้อมทั้งไปศึกษาดูงานกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสมาคมทางการค้าด้านสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาเผยแพร่ให้ผู้ประกอบการด้านสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะ SMEs ของไทยนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาขีดความสามารถ ในการผลิตและการดำเนินธุรกิจของตนเอง
นอกจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศยังจะร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือที่เรารู้จักกันว่า NECTEC จัดสัมมนาเรื่องมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม สาขาอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2550 นี้ด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคมไปยังสหรัฐฯ ไม่ติดอุปสรรคด้าน TBT
8. ข่าวแจ้งเตือนคนไทย : การลักลอบนำยาเสพติดเข้าประเทศจีนมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในประเทศจีนว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีคนไทยถูกจับกุมในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดเข้าประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2549 มีคนไทยถูกจับในข้อหายาเสพติด (เฮโรอีน) 22 คน
ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2550 มีคนไทยถูกจับในข้อหายาเสพติด 33 ราย โดยส่วนใหญ่ถูกจับในข้อหาลักลอบนำยาเสพติดเข้า โดยคนไทยที่ถูกจับส่วนใหญ่จะเดินทางจากประเทศในแถบเอเชียใต้เข้าจีนโดยตรง หรือ เดินทางจากประเทศในเอเชียใต้ และ ตะวันออกกลางผ่านไทย เพื่อเข้าจีน
ในปัจจุบัน ศุลกากรจีนทุกจุดได้เพิ่มมาตรการที่เข็มงวดมากขึ้นในการตรวจค้น/ตรวจสอบยาเสพติดโดยใช้สุนัขดมกลิ่น มีการค้นกระเป๋า สัมภาระ และค้นตัวผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศจีนเป็นพิเศษ ส่วนความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติดตามกฎหมายจีนนั้น ระบุว่า ผู้ที่ลักลอบขนเฮโรอีนเกิน 50 กรัมเข้าประเทศจีน จะมีความผิดต้องถูกลงโทษจำคุกอย่างน้อย 15 ปี ไปจนถึงจำคุกตลอดชีวิต และหากขนยาเสพติดเกินกว่า 200 กรัมขึ้นไปจะถูกประหารชีวิต
ในปัจจุบัน สถิติการจับกุมคนไทยในคดียาเสพติดมีแนวโน้มสูงขึ้นมากจากการที่คนไทยถูกหลอกลวงให้รับจ้างขนยาเสพติดเข้าประเทศจีน โดยใช้วิธีซุกซ่อนในร่างกาย ในกระเป๋าเดินทาง หรือกลืนลงท้อง เนื่องจากได้รับการชักชวนจากกลุ่มมิจฉาชีพ โดยเฉพาะจากชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย โดยสัญญาว่าจะจ่ายค่าจ้างให้จำนวนมากเมื่อเดินทางกลับไทย จึงขอประกาศเตือนคนไทยที่เดินทางไปประเทศจีน อย่ากระทำผิด หลงเชื่อคำชักชวนให้รับจ้างขนยาเสพติด เพราะจะต้องได้รับบทลงโทษที่รุนแรงต่อผู้ที่ลักลอบขนยาเสพติดคือ จำคุกตลอดชีวิตจนถึงขั้นประหารชีวิต
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
วันนี้ (23 พฤษภาคม) 2550 นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ห้องประชุมกรมสารนิเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ เข้าร่วมรับฟังและซักถามในประเด็นต่าง ๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมประชุม ASEM FMM ครั้งที่ 8
นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 (8th ASEM Foreign Ministers Meeting) ระหว่างวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2550 ณ เมืองฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับรัฐมนตรีต่างประเทศของเอเชียและยุโรป และหารือเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคและประเด็นระหว่างประเทศที่สำคัญๆ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการดำเนินงานของ Asia-Europe Meeting (ASEM) ในอนาคต
การประชุม ASEM FMM ในครั้งนี้ เน้น 3 ประเด็นหลัก คือ 1) ประเด็นด้านการเมือง อาทิ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง คาบสมุทรเกาหลี และการต่อต้านการก่อการร้าย 2) ประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม/วัฒนธรรม อาทิ การส่งเสริมโอกาสทางการค้าและการลงทุน พลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษา และความแตกต่างด้านวัฒนธรรม และ 3) การประสาน งานในกรอบอาเซม เช่น การดำเนินการของมูลนิธิเอเชีย-ยุโรป หรือ ASEF โดยอาศัยแนวทางจากผลการประชุมระดับผู้นำครั้งที่ 6 ที่กรุงเฮลซิงกิ เมื่อเดือนกันยายน 2549
ในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะกล่าวนำหัวข้อ มิติทางสังคม โดยเน้นเรื่องการศึกษา และความแตกต่างทางวัฒนธรรมและอารยธรรม เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างกันโดยเฉพาะในระดับเยาวชนของสองภูมิภาค และจะเป็นผู้กล่าวตอบในหัวข้อ พัฒนาการในยุโรป โดยเน้นเรื่องสหภาพยุโรปครบรอบ 50 ปี และความร่วมมือระหว่างสองภูมิภาคในอนาคต และจะได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการเมืองและเศรษฐกิจในไทย โดยเฉพาะความคืบหน้าในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะใช้โอกาสในระหว่างการประชุมดังกล่าว หารือระดับทวิภาคีกับประเทศสมาชิกทั้งฝ่ายเอเชียและยุโรป อาทิ สวีเดน โปรตุเกส จีน และสิงคโปร์ เป็นต้น
2. กต.สนับสนุนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงสร้างอาชีพแก่ชาวอาเจห์ ลดปัญหาการปลูกพืชเสพติด
กระทรวงการต่างประเทศ โดยสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) สนับสนุนเงินจำนวน 5.29 ล้านบาทแก่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ในการจัดทำโครงการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนที่จังหวัดอาเจห์ ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสร้างอาชีพแก่ชาวอาเจห์ และลดการปลูกพืชเสพติด
โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อลดและขจัดการปลูกพืชเสพติด โดยการใช้มาตรการรณรงค์และเสริมสร้างกิจกรรม/อาชีพอื่นแก่ประชาชนในพื้นที่โครงการ ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้เริ่มกิจกรรมนำร่องแล้วระหว่างวันที่ 11 เมษายน — 10 พฤษภาคม 2550 โดยได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านมาลาเรียเข้าไปรักษาและให้ความรู้เพื่อป้องกันโรคมาลาเรีย ในหมู่บ้าน Lamteuba จ.อาเจห์ และสนับสนุนการส่งช่างไม้ที่มีประสบการณ์จากบันดา อาเจห์ ไปให้การอบรมด้านงานไม้ให้แก่ชาว จ.อาเจห์ รวมทั้งได้มอบอุปกรณ์และยารักษาโรคมาลาเรียให้แก่ จ.อาเจห์ อีกด้วย ซึ่งการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนในพื้นที่ และผู้ประสานงานที่เกี่ยวข้อง นับว่าโครงการนำร่องประสบความสำเร็จด้วยดี นอกจากนี้ มูลนิธิฯ มีแผนที่จะให้ความร่วมมือแก่ จ.อาเจห์ในเรื่องเกี่ยวกับการเกษตร การสร้างอาชีพโดยการทำอิฐบล็อก และการทำถนน (ต้นทุนต่ำ) ด้วย
กระทรวงการต่างประเทศเชื่อว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย รวมทั้งเป็นการให้ความช่วยเหลือ จ.อาเจห์ในการสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยสึนามิอีกด้วย
3. กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนโครงการขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ให้แก่ผู้พิการชาวมาเลเซีย
กระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง ร่วมกับมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมาคม Che Hoon Khor แห่งมาเลเซีย ได้ร่วมกันจัดโครงการบริจาคขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ให้แก่ผู้พิการด้อยโอกาสชาวมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 13 — 14 พฤษภาคม 2550 ณ เมืองปีนัง สถานกงสุลใหญ่ฯ เคยร่วมกับสมาคม Che Hoon Khor ของมาเลเซียจัดโครงการนี้ที่รัฐเคดาห์ เมื่อปี 2546 และรัฐยะโฮร์ เมื่อปี 2548 ด้วย
ในปีนี้ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิขาเทียมฯ จำนวน 110 คน ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล ช่างเทคนิค และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ได้เดินทางไปมาเลเซียเพี่อช่วยเหลือผู้ป่วยชาวมาเลเซียเป็นจำนวน 199 ราย ซึ่งสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้จัดอาสาสมัครล่ามภาษาอังกฤษ มาเลเซีย จีน และอินเดีย จำนวน 30 คน ไว้ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยที่มาขอรับบริการ
การบริจาคขาเทียมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ไทย — มาเลเซีย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนให้มีความกระชับแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
4. ไทยมอบเงิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยเหลือผู้ประสบแผ่นดินไหวในอินโดนีเซีย
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550 นางอัจฉรา เสริบุตร เอกอัครราชทูตไทยประจำอินโดนีเซีย เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยมอบเช็คมูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่นาย Primo Alui Joelianto อธิบดีกิจการเอเชีย-แปซิฟิกและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดสุมาตราตะวันตก เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2550
รัฐบาลไทยมอบเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือในการสร้างที่พักชั่วคราว และฟื้นฟูสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่เสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว อันเป็นการสะท้อนถึงความปรารถนาดีของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวอินโดนีเซียอย่างจริงใจให้สามารถกลับมาดำรงชีวิตตามปกติได้อีกครั้งหนึ่ง
5. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต จัดกิจกรรมทางพุทธศาสนาในวันวิสาขบูชาปี 2550 เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษา
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมานว่า สถานเอกอัครราชทูตฯ จะจัดกิจกรรมทางพุทธศาสนาในวันวิสาขบูชาในวันที่ 31 พฤษภาคม 2550 เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาและเชิญชวนชาวไทยในรัฐสุลต่านโอมานร่วมสวดมนต์ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นกิจกรรมร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา (5 ธันวาคม 2550)
ในโอกาสนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานขอให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อนิมนต์พระภิกษุ 2 รูปเดินทางไปประกอบศาสนกิจในโอกาสดังกล่าวด้วย ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้อาราธนาพระราชปฏิภาณมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยูรวงศาวาส กรุงเทพฯ และพระมหาไพเราะ ฐิตสีโล สังกัดวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เดินทางไปประกอบศาสนกิจฯ ข้างต้น
อนึ่ง ปัจจุบันมีคนไทยพำนักอยู่ในรัฐสุลต่านโอมานประมาณ 300 คน ประกอบด้วยคนไทยที่ทำงานในบริษัทท้องถิ่นและต่างชาติ คนไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ เจ้าหน้าที่บริษัทการบินไทย เจ้าหน้าที่บริษัท ปตท.สผ. และข้าราชการสถานเอกอัครราชทูตฯ ทั้งนี้ คนไทยในรัฐสุลต่านโอมานส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชน แต่ประสบปัญหาไม่มีสถานที่ประกอบศาสนกิจ เนื่องจากไม่มีวัดพุทธ ดังนั้น ในแต่ละปีที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้จัดงานวันวิสาขบูชาโดยประสานกับสถานเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำรัฐสุลต่านโอมานในการนิมนต์พระสงฆ์ไปประกอบศาสนพิธีฯ
6. กิจกรรมการฉลองโอกาสครบรอบ 10 ปี การก่อตั้งกรอบความร่วมมือ BIMSTEC: “โครงการประกวดวาดภาพระดับมัธยมศึกษาเพื่อจัดพิมพ์เป็นไปรษณียบัตรบิมสเทค” หรือ “Discover BIMSTEC Postcard” Design Competition”
ในโอกาสครบรอบ 10 ปี การก่อตั้ง BIMSTEC ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ที่ไทยเป็นผู้ริเริ่มขึ้น และมีประเทศแถบอ่าวเบงกอลเข้าร่วมเป็นสมาชิก ได้แก่ พม่า อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ เนปาล และภูฏาน กระทรวงการต่างประเทศจึงขอเชิญชวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ร่วมประกวดออกแบบภาพวาดที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์หรือวิถีชีวิตของไทย โดยสามารถใช้สีชนิดใดก็ได้ เพื่อนำไปจัดพิมพ์เป็นไปรษณียบัตรบิมสเทค ร่วมกับภาพวาดของประเทศสมาชิก โดยผู้ชนะการประกวดจะได้รับรางวัลเงินสด 5,000 บาท และโล่เกียรติยศ จากกระทรวงการต่างประเทศ
ผู้สนใจสามารถส่งผลงานได้ที่กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ภายในวันที่ 12 มิถุนายน 2550 และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2643 5000 ต่อ 4028 หรือทางเว็บไซต์ www.mfa.go.th/web/410.php และ www.bimstec.org
7. บทบาทกระทรวงการต่างประเทศในการเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนามาตรฐานสินค้าไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ
กระทรวงการต่างประเทศตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะสำหรับสินค้าไทยในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯพัฒนาความสามารถในการผลิตสินค้าให้ได้ตรงตามมาตรฐานที่สหรัฐฯ กำหนด และสามารถตอบสนองความต้องการของ ตลาดผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้ จึงได้เริ่มดำเนินโครงการส่งเสริมขีดความสามารถทางการค้าและความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเมื่อปี 2549 กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านมาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และการประเมินความสอดคล้องของสหรัฐฯ สองครั้ง ในเดือนมีนาคมและเดือนสิงหาคม 2549 โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานจากสหรัฐฯ มาเป็นวิทยากร ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับภาพรวมระบบมาตรฐานของสหรัฐฯ ตลอดจนลงรายละเอียดในบางสาขาอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก และในสาขาที่ผู้ประกอบการไทย ให้ความสนใจขอรับข้อมูลจากฝ่ายสหรัฐฯ เช่น สินค้าอาหารและเกษตรกรรม สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง รวมถึงรถยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น
การสัมมนาฯ ในปี 2549 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยเข้าใจมาตรฐานสินค้าสหรัฐฯ เพื่อจะได้สามารถผลิตสินค้าให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด และช่วยเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันในภาพรวมของผู้ประกอบการไทยด้วย
ต่อมากระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามผลในเรื่องนี้ โดยได้ดำเนินโครงการย่อยเพื่อส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมอีกในปี 2550 เพื่อให้กระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองของผู้ประกอบการไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ภายใต้โครงการ Trade Capacity Building/ SMEs โดยในปีนี้ จะเน้นการดำเนินโครงการที่ลงไปในรายสาขาอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับข้อมูลองค์ความรู้ในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น เช่น จะร่วมมือกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอจัดการเดินทางให้คณะผู้แทนจากภาครัฐและสถาบันฯ ไปเข้ารับการฝึกอบรมในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับหลักสูตรด้านสิ่งทอของสหรัฐฯ พร้อมทั้งไปศึกษาดูงานกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสมาคมทางการค้าด้านสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาเผยแพร่ให้ผู้ประกอบการด้านสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะ SMEs ของไทยนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาขีดความสามารถ ในการผลิตและการดำเนินธุรกิจของตนเอง
นอกจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศยังจะร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือที่เรารู้จักกันว่า NECTEC จัดสัมมนาเรื่องมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม สาขาอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2550 นี้ด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคมไปยังสหรัฐฯ ไม่ติดอุปสรรคด้าน TBT
8. ข่าวแจ้งเตือนคนไทย : การลักลอบนำยาเสพติดเข้าประเทศจีนมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในประเทศจีนว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีคนไทยถูกจับกุมในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดเข้าประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2549 มีคนไทยถูกจับในข้อหายาเสพติด (เฮโรอีน) 22 คน
ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2550 มีคนไทยถูกจับในข้อหายาเสพติด 33 ราย โดยส่วนใหญ่ถูกจับในข้อหาลักลอบนำยาเสพติดเข้า โดยคนไทยที่ถูกจับส่วนใหญ่จะเดินทางจากประเทศในแถบเอเชียใต้เข้าจีนโดยตรง หรือ เดินทางจากประเทศในเอเชียใต้ และ ตะวันออกกลางผ่านไทย เพื่อเข้าจีน
ในปัจจุบัน ศุลกากรจีนทุกจุดได้เพิ่มมาตรการที่เข็มงวดมากขึ้นในการตรวจค้น/ตรวจสอบยาเสพติดโดยใช้สุนัขดมกลิ่น มีการค้นกระเป๋า สัมภาระ และค้นตัวผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศจีนเป็นพิเศษ ส่วนความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติดตามกฎหมายจีนนั้น ระบุว่า ผู้ที่ลักลอบขนเฮโรอีนเกิน 50 กรัมเข้าประเทศจีน จะมีความผิดต้องถูกลงโทษจำคุกอย่างน้อย 15 ปี ไปจนถึงจำคุกตลอดชีวิต และหากขนยาเสพติดเกินกว่า 200 กรัมขึ้นไปจะถูกประหารชีวิต
ในปัจจุบัน สถิติการจับกุมคนไทยในคดียาเสพติดมีแนวโน้มสูงขึ้นมากจากการที่คนไทยถูกหลอกลวงให้รับจ้างขนยาเสพติดเข้าประเทศจีน โดยใช้วิธีซุกซ่อนในร่างกาย ในกระเป๋าเดินทาง หรือกลืนลงท้อง เนื่องจากได้รับการชักชวนจากกลุ่มมิจฉาชีพ โดยเฉพาะจากชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย โดยสัญญาว่าจะจ่ายค่าจ้างให้จำนวนมากเมื่อเดินทางกลับไทย จึงขอประกาศเตือนคนไทยที่เดินทางไปประเทศจีน อย่ากระทำผิด หลงเชื่อคำชักชวนให้รับจ้างขนยาเสพติด เพราะจะต้องได้รับบทลงโทษที่รุนแรงต่อผู้ที่ลักลอบขนยาเสพติดคือ จำคุกตลอดชีวิตจนถึงขั้นประหารชีวิต
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-