แท็ก
คณะกรรมการนโยบายการเงิน
บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)
ธนาคารแห่งประเทศไทย
กรมการขนส่งทางบก
กระทรวงการคลัง
กรมตำรวจ
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนมกราคม 2550 ในวันที่ 26 มกราคม 2550 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 ขยายตัวร้อยละ 4.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากร้อยละ 5.0 ในไตรมาสที่ 2 ของปีตามการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งชะลอลงมากกว่าที่คณะกรรมการฯ คาดไว้ ส่วนการส่งออกสินค้าและบริการชะลอลงจากฐานที่สูงมากในปีก่อน และเมื่อประกอบกับการนำเข้าสินค้าและบริการที่เร่งตัวขึ้น ทำให้การส่งออกสินค้าและบริการสุทธิมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจน้อยลงกว่าเดิมด้วย
ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 ข้อมูลเครื่องชี้ล่าสุดยังสะท้อนการอ่อนตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ แต่การส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวดีตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวดีกว่าคาด ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าทั้งปี 2549 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5.1 ซึ่งสูงกว่าช่วงประมาณการที่ให้ไว้ในรายงานฉบับก่อนเล็กน้อย
สำหรับเสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ แรงกดดันด้านราคาปรับลดลงชัดเจน ส่วนหนึ่งเพราะราคา น้ำมันที่ลดลง แม้ว่าราคาอาหารสดปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงแรกของไตรมาสที่ 4 แต่ก็เป็นผลกระทบชั่วคราวจากภาวะน้ำท่วม ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.3 และ 1.7 ตามลำดับ ทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.7 และ 2.3 ตามลำดับ และอยู่ในช่วงประมาณการที่ให้ไว้ในรายงานฉบับก่อนที่ร้อยละ 4.3 - 4.8 และร้อยละ 2 - 2.5 ตามลำดับ
ราคาน้ำมันที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในช่วงที่ผ่านมามีส่วนช่วยสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจ การเงินมีเสถียรภาพในภาพรวม ทั้งนี้ ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนยังมีสถานะทางการเงินดี ขณะที่เสถียรภาพของภาคสถาบันการเงินก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ สะท้อนจากผลการดำเนินงานและคุณภาพสินเชื่อที่อยู่ในเกณฑ์ดี
สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 โดยเป็นผลจากดุลการค้าที่ปรับตัวดีขึ้นเพราะการส่งออกขยายตัวดี ขณะที่การนำเข้าชะลอตัวตาม อุปสงค์ในประเทศ นอกจากนี้ ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนกลับมาเกินดุล ทำให้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 4 เกินดุลถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงเป็นเหตุผลหนึ่งที่กดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากในช่วงปลายปี กอปรกับการเร่งนำเข้าเงินกู้และการเข้ามาลงทุนเพื่อเก็งกำไรของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นรวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อันเป็นเหตุให้ทางการต้องออกมาตรการเกี่ยวกับเงินทุนไหลเข้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของภาคเศรษฐกิจจริง
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงต่ำกว่ารายงานฉบับก่อนตลอดช่วงประมาณการ โดยเฉลี่ยในปี 2550 และ 2551 อยู่ที่ 56.5 และ 56.0 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ตามลำดับ เป็นผลมาจากอุปสงค์น้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก กอปรกับอุปทานเริ่มมีมากขึ้น
2. ข้อสมมติราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มใกล้เคียงกับที่ใช้ในรายงานฉบับก่อน แต่ลดลงมากกว่าข้อสมมติเดิมเล็กน้อยในตอนท้ายของช่วงประมาณการสอดคล้องกับประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มิใช่เชื้อเพลิงในตลาดโลกไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม
3. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และคาดว่าจะอยู่ในระดับนี้ไปตลอดช่วงประมาณการ
4. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในปี 2550 โดยรวมยังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวจากปี 2549 แต่สูงกว่าข้อสมมติในรายงานฉบับก่อนเล็กน้อยจากเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียที่ปรับสูงขึ้น สำหรับในปี 2551 เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นในภาพรวม
5. ค่าเงินในภูมิภาคยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าใกล้เคียงกับข้อสมมติเดิม
6. รายจ่ายเพื่อการอุปโภคและการลงทุนของภาครัฐในปีงบประมาณ 2550 และ 2551 มีแนวโน้มใกล้เคียงกับข้อสมมติในรายงานฉบับก่อน
สำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปนั้น ที่สำคัญมาจาก
(1) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่แม้ว่าจะปรับลดลงมากแต่ยังมีแนวโน้มผันผวนจากความไม่แน่นอนด้านอุปทานน้ำมัน
(2) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ยังคงเปราะบางจากปัจจัยความไม่แน่นอนหลายประการที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2549 ต่อเนื่องมาถึงต้นเดือนมกราคม 2550
(3) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจชะลอตัวมากกว่าที่คาดและส่งผลให้อุปสงค์ต่างประเทศต่ำลงไปอีก
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่ามีโอกาสประมาณร้อยละ 87.6 ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2550 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 4 - 5 และมีโอกาสร้อยละ 88.1 ที่เศรษฐกิจในปี 2551 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 4 - 5.5
ส่วนความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปนั้น ที่อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่ากรณีฐาน คือราคาน้ำมันที่อาจกลับเร่งตัวขึ้น รวมทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้าในบัญชีสินค้าและบริการควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศที่อาจชะลอตัวเกินคาดจะทำให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่ากรณีฐานได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2550 จะชะลอตัวต่อเนื่องจากปีนี้และเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5 - 2.5 และในปี 2551 คณะกรรมการฯ ใช้ช่วงประมาณการที่กว้างขึ้น คือ ร้อยละ 1 - 2.5 สำหรับอัตรา เงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1 - 2 ทั้งในปี 2550 และปี 2551
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณา ดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2549 คณะกรรมการฯ เห็นว่า เศรษฐกิจไทย 10 เดือนแรกขยายตัวได้อย่างน่าพอใจโดยมีภาคการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเริ่มชะลอลง แต่ยังมีแรงกดดัน ด้านราคาอยู่ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5 ต่อปี และให้ติดตามแรงขับเคลื่อนด้านการลงทุนภาคเอกชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแทนอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งถัดไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินและส่งเสริมพัฒนาการของตลาดเงิน
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2550 คณะกรรมการฯ เห็นว่า อุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงทั้งการบริโภคและการลงทุน ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลงอย่างชัดเจน และประเมินว่าความเสี่ยงด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากกว่าความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของราคาทำให้คณะกรรมการฯ มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 4.75 ต่อปี เพื่อเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 ขยายตัวร้อยละ 4.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากร้อยละ 5.0 ในไตรมาสที่ 2 ของปีตามการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งชะลอลงมากกว่าที่คณะกรรมการฯ คาดไว้ ส่วนการส่งออกสินค้าและบริการชะลอลงจากฐานที่สูงมากในปีก่อน และเมื่อประกอบกับการนำเข้าสินค้าและบริการที่เร่งตัวขึ้น ทำให้การส่งออกสินค้าและบริการสุทธิมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจน้อยลงกว่าเดิมด้วย
ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 ข้อมูลเครื่องชี้ล่าสุดยังสะท้อนการอ่อนตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ แต่การส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวดีตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวดีกว่าคาด ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าทั้งปี 2549 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5.1 ซึ่งสูงกว่าช่วงประมาณการที่ให้ไว้ในรายงานฉบับก่อนเล็กน้อย
สำหรับเสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ แรงกดดันด้านราคาปรับลดลงชัดเจน ส่วนหนึ่งเพราะราคา น้ำมันที่ลดลง แม้ว่าราคาอาหารสดปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงแรกของไตรมาสที่ 4 แต่ก็เป็นผลกระทบชั่วคราวจากภาวะน้ำท่วม ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.3 และ 1.7 ตามลำดับ ทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.7 และ 2.3 ตามลำดับ และอยู่ในช่วงประมาณการที่ให้ไว้ในรายงานฉบับก่อนที่ร้อยละ 4.3 - 4.8 และร้อยละ 2 - 2.5 ตามลำดับ
ราคาน้ำมันที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในช่วงที่ผ่านมามีส่วนช่วยสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจ การเงินมีเสถียรภาพในภาพรวม ทั้งนี้ ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนยังมีสถานะทางการเงินดี ขณะที่เสถียรภาพของภาคสถาบันการเงินก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ สะท้อนจากผลการดำเนินงานและคุณภาพสินเชื่อที่อยู่ในเกณฑ์ดี
สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 โดยเป็นผลจากดุลการค้าที่ปรับตัวดีขึ้นเพราะการส่งออกขยายตัวดี ขณะที่การนำเข้าชะลอตัวตาม อุปสงค์ในประเทศ นอกจากนี้ ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนกลับมาเกินดุล ทำให้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 4 เกินดุลถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงเป็นเหตุผลหนึ่งที่กดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากในช่วงปลายปี กอปรกับการเร่งนำเข้าเงินกู้และการเข้ามาลงทุนเพื่อเก็งกำไรของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นรวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อันเป็นเหตุให้ทางการต้องออกมาตรการเกี่ยวกับเงินทุนไหลเข้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของภาคเศรษฐกิจจริง
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงต่ำกว่ารายงานฉบับก่อนตลอดช่วงประมาณการ โดยเฉลี่ยในปี 2550 และ 2551 อยู่ที่ 56.5 และ 56.0 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ตามลำดับ เป็นผลมาจากอุปสงค์น้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก กอปรกับอุปทานเริ่มมีมากขึ้น
2. ข้อสมมติราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มใกล้เคียงกับที่ใช้ในรายงานฉบับก่อน แต่ลดลงมากกว่าข้อสมมติเดิมเล็กน้อยในตอนท้ายของช่วงประมาณการสอดคล้องกับประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มิใช่เชื้อเพลิงในตลาดโลกไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม
3. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และคาดว่าจะอยู่ในระดับนี้ไปตลอดช่วงประมาณการ
4. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในปี 2550 โดยรวมยังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวจากปี 2549 แต่สูงกว่าข้อสมมติในรายงานฉบับก่อนเล็กน้อยจากเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียที่ปรับสูงขึ้น สำหรับในปี 2551 เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นในภาพรวม
5. ค่าเงินในภูมิภาคยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าใกล้เคียงกับข้อสมมติเดิม
6. รายจ่ายเพื่อการอุปโภคและการลงทุนของภาครัฐในปีงบประมาณ 2550 และ 2551 มีแนวโน้มใกล้เคียงกับข้อสมมติในรายงานฉบับก่อน
สำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปนั้น ที่สำคัญมาจาก
(1) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่แม้ว่าจะปรับลดลงมากแต่ยังมีแนวโน้มผันผวนจากความไม่แน่นอนด้านอุปทานน้ำมัน
(2) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ยังคงเปราะบางจากปัจจัยความไม่แน่นอนหลายประการที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2549 ต่อเนื่องมาถึงต้นเดือนมกราคม 2550
(3) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจชะลอตัวมากกว่าที่คาดและส่งผลให้อุปสงค์ต่างประเทศต่ำลงไปอีก
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่ามีโอกาสประมาณร้อยละ 87.6 ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2550 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 4 - 5 และมีโอกาสร้อยละ 88.1 ที่เศรษฐกิจในปี 2551 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 4 - 5.5
ส่วนความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปนั้น ที่อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่ากรณีฐาน คือราคาน้ำมันที่อาจกลับเร่งตัวขึ้น รวมทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้าในบัญชีสินค้าและบริการควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศที่อาจชะลอตัวเกินคาดจะทำให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่ากรณีฐานได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2550 จะชะลอตัวต่อเนื่องจากปีนี้และเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5 - 2.5 และในปี 2551 คณะกรรมการฯ ใช้ช่วงประมาณการที่กว้างขึ้น คือ ร้อยละ 1 - 2.5 สำหรับอัตรา เงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1 - 2 ทั้งในปี 2550 และปี 2551
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณา ดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2549 คณะกรรมการฯ เห็นว่า เศรษฐกิจไทย 10 เดือนแรกขยายตัวได้อย่างน่าพอใจโดยมีภาคการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเริ่มชะลอลง แต่ยังมีแรงกดดัน ด้านราคาอยู่ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 5 ต่อปี และให้ติดตามแรงขับเคลื่อนด้านการลงทุนภาคเอกชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแทนอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งถัดไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินและส่งเสริมพัฒนาการของตลาดเงิน
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2550 คณะกรรมการฯ เห็นว่า อุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลงทั้งการบริโภคและการลงทุน ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลงอย่างชัดเจน และประเมินว่าความเสี่ยงด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากกว่าความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของราคาทำให้คณะกรรมการฯ มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 4.75 ต่อปี เพื่อเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--