ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. รมว.คลังยืนยันเรื่องอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอน ผู้ว่าการ ธปท. รมว.คลัง เปิดเผยถึง การปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.
ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า การแก้ไขกฎหมายของ ธปท.ครั้งนี้ได้หารือร่วมกับผู้ว่าการ ธปท.ในหลักการมานานแล้ว โดยยืนยันว่า การให้
อำนาจกับ รมว.คลังเป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งและถอดถอนตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท.นั้น เป็นเรื่องที่ปฏิบัติมานานแล้ว และสามารถทำงานได้ ดังนั้น
จึงไม่ควรลองวิธีใหม่ที่อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต และยืนยันว่าไม่ใช่การปลดผู้ว่าการ ธปท.จะทำได้ง่าย เพราะในกฎหมายได้กำหนด
ไว้ชัดเจนว่าต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาประเด็นหลักในร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว
อย่างรอบคอบอีกครั้ง จากนั้นจะเสนอ ครม.พิจารณาและเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป (เดลินิวส์,
ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
2. สศค.เผยฐานะการคลังช่วง 7 เดือนแรกปี งปม.50 ขาดดุล 2.17 แสนล้านบาท นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
การคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษก ก.คลัง เปิดเผยฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 7 เดือนแรกของ
ปี งปม. 50 ว่า รายได้นำส่งคลังของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 693,793 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.8 ในขณะที่รัฐบาลมีการ
ใช้จ่ายเงินทั้งสิ้น 853,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 4.2 ส่งผลให้ดุลเงิน งปม.ในช่วง 7 เดือนแรกของปี งปม.50
ขาดดุล 159,484 ล้านบาท โดยขาดดุลเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 16,031 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.2 และเมื่อรวมดุลเงิน
งปม.กับดุลเงินนอก งปม.ที่ขาดดุลจำนวน 57,865 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลัง (ดุลเงินสด) ของรัฐบาลขาดดุลทั้งสิ้น 217,349 ล้านบาท
ซึ่งรัฐบาลชดเชยการขาดดุลด้วยการใช้เงินคงคลัง 99,694 ล่านบาท การออกพันธบัตรจำนวน 87,655 ล้านบาท และการออกตั๋วสัญญา
ใช้เงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับรายได้นำส่งคลังในช่วง 7 เดือนแรกของปี งปม.50 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 93,793 ล้านบาท
สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.8 ขณะที่รายจ่ายรัฐบาลในเดือน เม.ย.50 รัฐบาลมีรายจ่ายทั้งสิ้น 115,830 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น
รายจ่ายประจำ 97,682 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน 13,534 ล้านบาท และรายจ่ายจาก งปม.ปีก่อน 4,614 ล้านบาท ในช่วง 7 เดือนแรก
ของปี งปม.50 การเบิกจ่ายของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 853,277 ล้านบาท สูงกว่าการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.2 โดยแบ่งออก
เป็นรายจ่ายปีปัจจุบัน 775,298 ล้านบาท (อัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 49.5) และรายจ่ายปีก่อน 77,979 ล้านบาท (ผู้จัดการรายวัน
โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน, ข่าวสด)
3. ครม.เห็นชอบร่างกฎหมายหนี้สาธารณะฉบับใหม่ ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ครม.มีมติเห็นชอบ
ร่าง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฉบับใหม่ตามที่ ก.คลังเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญทั้งในด้านการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ และด้าน
การบริหารและจัดการหนี้สาธารณะของประเทศ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ในลำดับถัดไป คาดว่าจะสามารถผ่านการพิจารณาได้ในรัฐบาลนี้ อนึ่ง กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจ ก.คลังสามารถกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ได้
ในกรณีมีความจำเป็นต้องสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงแม้ไม่ขาดดุล งปม. โดยให้กู้ได้ไม่เกินวงเงินที่ ครม.กำหนดเป็นคราว ๆ ตามความจำเป็น
แต่เมื่อรวมกับการกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุล งปม.แล้วไม่เกินวงเงินร้อยละ 20 ของ งปม.รายจ่ายประจำปี และร้อยละ 80 ของ งปม.รายจ่าย
ที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น และให้นำส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อพัฒนาตลาดตราสารนี้ นอกจากนี้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังให้อำนาจ ก.คลังสามารถ
กู้เงินบาทเพื่อให้กู้ต่อได้ จากเดิมที่กำหนดให้กู้เงินเพื่อให้กู้ต่อได้ เฉพาะเงินตราต่างประเทศเท่านั้น ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวให้นับรวมกับ
วงเงินค้ำประกัน ซึ่งมีเพดานไม่เกินร้อยละ 20 ของ งปม.รายจ่ายประจำปี (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์,
เดลินิวส์, มติชน, แนวหน้า)
4. บ.ปตท.เตรียมปรับราคาขายปลีกน้ำมันทุกผลิตภัณฑ์อีก 40 สตางค์ต่อลิตรใน 1-2 วันนี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.ปตท.จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า ใน 1-2 วันนี้ หากราคาน้ำมันตลาดโลกยังไม่ปรับลดลง ผู้ค้าน้ำมันคงจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกทุกผลิตภัณฑ์อีก 40 สตางค์ต่อลิตร
ซึ่งจะทำให้ราคาเบนซิน 95 สูงกว่า 30 บาทต่อลิตร แต่คงไม่ถึง 35 บาทต่อลิตรแน่นอน เนื่องจากหากถึง 35 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันดิบต้องสูง
ถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นไปได้ยาก ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับขึ้นสูงมากนัก ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องปรับ
ราคาขายปลีกในประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาเบนซิน 95 ที่ตลาดสิงคโปร์ทำสถิติสูงสุดที่ 90.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทำให้ค่าการตลาดเบนซินเหลือ 30 สตางค์ต่อลิตร ราคาดีเซลสูงถึง 82.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ค่าการตลาดดีเซลคงเหลือ 60 สตางค์ต่อลิตร
(กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า, ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ. ในเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 50
ก. แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน เม.ย. ดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งแสดงภาวะเงินเฟ้อของ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 น้อยกว่าที่วอลสตรีท
คาดการณ์ไว้ และต่ำกว่าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือน มี.ค. ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อผ่อนคลายลงบ้าง ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน
ที่ไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 จากเดือน มี.ค. และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.3
และอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบปี ทั้งนี้นักวิเคราะห์กล่าวว่าความพยายามที่จะจัดการกับภาวะเงินเฟ้อของ ธ.กลาง เริ่มประสบผลสำเร็จแล้ว
แม้ว่าต้นทุนยา ราคาอาหาร และพลังงานจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม เสริมความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ว่า ธ.กลางสามารถควบคุมภาวะ
เงินเฟ้อได้ ซึ่งที่ผ่านมานับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ธ.กลาง สรอ.ได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนไว้ แต่ก็มีคำเตือนให้ระมัดระวังความเสี่ยง
ด้านเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง การประกาศตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น สรอ. เพิ่มขึ้น ดัชนีอุตสาหกรรมดาวน์โจนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงกว่า 70 จุด
ในการซื้อขายเมื่อตอนเที่ยง เนื่องจากในรายงานมีความเป็นไปได้ว่า ธ.กลาง สรอ.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงครึ่งหลังปีนี้
ส่วนราคาพันธบัตรรัฐบาล สรอ.เพิ่มขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. เมื่อเทียบกับเงินยูโรมีค่าลดลง(รอยเตอร์)
2. เศรษฐกิจ Euro zone ในไตรมาสแรกปี 50 ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์เมื่อ 15 พ.ค.50 Eurostat
ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 0.6 ในไตรมาสแรกปี 50 เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายปี 49 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบต่อปี ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 0.5 ต่อไตรมาสและร้อยละ 2.9 ต่อปี หลังจากในไตรมาสสุดท้ายปี 49 ขยายตัวร้อยละ 0.9 ต่อไตรมาสและร้อยละ 3.3 ต่อปี
โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีขนาดใหญ่สุดใน Euro zone ขยายตัวร้อยละ 0.5 ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.3
ต่อไตรมาส จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจ Euro zone กำลังขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ สอดคล้องกับความเห็นของ
คณะกรรมาธิการยุโรปซึ่งเมื่อวันที่ 7 พ.ค.50 ที่ผ่านมาได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro zone ในปี 50
และปี 51 จากร้อยละ 2.4 และร้อยละ 2.2 เป็นร้อยละ 2.6 และร้อยละ 2.5 ตามลำดับ หลังจากขยายตัวร้อยละ 2.7 ในปี 49
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จึงคาดว่าหลังจากขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดไว้อีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 4.0 ต่อปีในเดือน มิ.ย.50
ที่จะถึงนี้แล้ว ธ.กลางยุโรปหรือ ECB อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในปีนี้ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.25 ต่อปี (รอยเตอร์)
3. เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสแรกขยายตัวแข็งแกร่งแม้จะมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.50 สนง.สถิติกลางของเยอรมนี เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสแรกปีนี้ที่ปรับตัวเลขจาก
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ แล้ว ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 0.5 จากไตรมาสสุดท้ายปีก่อน สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่นักเศรษฐศาสตร์ 55 คน
คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 และเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 1.0 ในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.49 โดยการลงทุนที่เพิ่มขึ้นมากช่วยชดเชย
การชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 3.0 เมื่อเดือน ม.ค.50 ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า
ระบบเศรษฐกิจของเยอรมนีที่มีขนาดใหญ่สุดในยุโรปดูเหมือนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ และจากตัวเลข
ล่าสุดทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ ธ.กลางสหภาพยุโรปจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อนึ่ง ก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมีความกังวลว่า
การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 3.0 จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอการขยายตัวอย่างรุนแรงหลังจากที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปี 49 ซึ่ง
เป็นอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในรอบ 6 ปี อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านการลงทุนและการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างมากได้ช่วยชดเชย
กับปัญหาการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการค้าต่างประเทศได้เป็นอย่างดี (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษขยายตัวชะลอลงในเดือน เม.ย.50 รายงานจากลอนดอนเมื่อ 15 พ.ค.50 The Office
for National Statistics เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษในเดือน เม.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนก่อน ทำให้ดัชนี
ชะลอลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.8 เทียบต่อปีจากระดับร้อยละ 3.1 ในเดือนก่อนหน้า เป็นผลจากค่าใช้จ่ายหลักของครัวเรือนที่เคยอยู่ในระดับสูง
ได้แก่ ค่าก๊าซและไฟฟ้าลดลงอย่างมาก อันเนื่องมาจากราคานำเข้าลดลงตามราคาในตลาดโลกตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยการลดลงของ
ค่าก๊าซและไฟฟ้าส่งผลให้ CPI ลดลงร้อยละ 0.23 อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าและเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์กลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6 สูงสุด
นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.44 สาเหตุจากราคาผักสดเพิ่มขึ้นสูงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษ
ในเดือน เม.ย.ดังกล่าว ก่อให้เกิดกระแสความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งเห็นว่าอาจส่งผลให้ ธ.กลางอังกฤษปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 5.75 ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ขณะที่บางส่วนไม่เห็นด้วยกับการคาดการณ์เช่นนั้น ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์
ยังคงรอดูตัวเลขการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจาก ธ.กลางอังกฤษที่จะรายงานในวันพุธนี้อีกครั้ง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 16 พ.ค. 50 15 พ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.493 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.2783/34.6117 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.10528 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 713.27/9.65 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,950/11,050 10,900/11,000 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 64.99 64.16 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.99*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 12 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. รมว.คลังยืนยันเรื่องอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอน ผู้ว่าการ ธปท. รมว.คลัง เปิดเผยถึง การปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.
ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า การแก้ไขกฎหมายของ ธปท.ครั้งนี้ได้หารือร่วมกับผู้ว่าการ ธปท.ในหลักการมานานแล้ว โดยยืนยันว่า การให้
อำนาจกับ รมว.คลังเป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งและถอดถอนตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท.นั้น เป็นเรื่องที่ปฏิบัติมานานแล้ว และสามารถทำงานได้ ดังนั้น
จึงไม่ควรลองวิธีใหม่ที่อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต และยืนยันว่าไม่ใช่การปลดผู้ว่าการ ธปท.จะทำได้ง่าย เพราะในกฎหมายได้กำหนด
ไว้ชัดเจนว่าต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาประเด็นหลักในร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว
อย่างรอบคอบอีกครั้ง จากนั้นจะเสนอ ครม.พิจารณาและเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป (เดลินิวส์,
ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
2. สศค.เผยฐานะการคลังช่วง 7 เดือนแรกปี งปม.50 ขาดดุล 2.17 แสนล้านบาท นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
การคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษก ก.คลัง เปิดเผยฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 7 เดือนแรกของ
ปี งปม. 50 ว่า รายได้นำส่งคลังของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 693,793 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.8 ในขณะที่รัฐบาลมีการ
ใช้จ่ายเงินทั้งสิ้น 853,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 4.2 ส่งผลให้ดุลเงิน งปม.ในช่วง 7 เดือนแรกของปี งปม.50
ขาดดุล 159,484 ล้านบาท โดยขาดดุลเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 16,031 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.2 และเมื่อรวมดุลเงิน
งปม.กับดุลเงินนอก งปม.ที่ขาดดุลจำนวน 57,865 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลัง (ดุลเงินสด) ของรัฐบาลขาดดุลทั้งสิ้น 217,349 ล้านบาท
ซึ่งรัฐบาลชดเชยการขาดดุลด้วยการใช้เงินคงคลัง 99,694 ล่านบาท การออกพันธบัตรจำนวน 87,655 ล้านบาท และการออกตั๋วสัญญา
ใช้เงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับรายได้นำส่งคลังในช่วง 7 เดือนแรกของปี งปม.50 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 93,793 ล้านบาท
สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.8 ขณะที่รายจ่ายรัฐบาลในเดือน เม.ย.50 รัฐบาลมีรายจ่ายทั้งสิ้น 115,830 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น
รายจ่ายประจำ 97,682 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน 13,534 ล้านบาท และรายจ่ายจาก งปม.ปีก่อน 4,614 ล้านบาท ในช่วง 7 เดือนแรก
ของปี งปม.50 การเบิกจ่ายของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 853,277 ล้านบาท สูงกว่าการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.2 โดยแบ่งออก
เป็นรายจ่ายปีปัจจุบัน 775,298 ล้านบาท (อัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 49.5) และรายจ่ายปีก่อน 77,979 ล้านบาท (ผู้จัดการรายวัน
โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน, ข่าวสด)
3. ครม.เห็นชอบร่างกฎหมายหนี้สาธารณะฉบับใหม่ ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ครม.มีมติเห็นชอบ
ร่าง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฉบับใหม่ตามที่ ก.คลังเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญทั้งในด้านการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ และด้าน
การบริหารและจัดการหนี้สาธารณะของประเทศ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ในลำดับถัดไป คาดว่าจะสามารถผ่านการพิจารณาได้ในรัฐบาลนี้ อนึ่ง กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจ ก.คลังสามารถกู้เงินเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ได้
ในกรณีมีความจำเป็นต้องสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงแม้ไม่ขาดดุล งปม. โดยให้กู้ได้ไม่เกินวงเงินที่ ครม.กำหนดเป็นคราว ๆ ตามความจำเป็น
แต่เมื่อรวมกับการกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุล งปม.แล้วไม่เกินวงเงินร้อยละ 20 ของ งปม.รายจ่ายประจำปี และร้อยละ 80 ของ งปม.รายจ่าย
ที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น และให้นำส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อพัฒนาตลาดตราสารนี้ นอกจากนี้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังให้อำนาจ ก.คลังสามารถ
กู้เงินบาทเพื่อให้กู้ต่อได้ จากเดิมที่กำหนดให้กู้เงินเพื่อให้กู้ต่อได้ เฉพาะเงินตราต่างประเทศเท่านั้น ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวให้นับรวมกับ
วงเงินค้ำประกัน ซึ่งมีเพดานไม่เกินร้อยละ 20 ของ งปม.รายจ่ายประจำปี (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์,
เดลินิวส์, มติชน, แนวหน้า)
4. บ.ปตท.เตรียมปรับราคาขายปลีกน้ำมันทุกผลิตภัณฑ์อีก 40 สตางค์ต่อลิตรใน 1-2 วันนี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.ปตท.จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า ใน 1-2 วันนี้ หากราคาน้ำมันตลาดโลกยังไม่ปรับลดลง ผู้ค้าน้ำมันคงจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกทุกผลิตภัณฑ์อีก 40 สตางค์ต่อลิตร
ซึ่งจะทำให้ราคาเบนซิน 95 สูงกว่า 30 บาทต่อลิตร แต่คงไม่ถึง 35 บาทต่อลิตรแน่นอน เนื่องจากหากถึง 35 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันดิบต้องสูง
ถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นไปได้ยาก ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับขึ้นสูงมากนัก ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องปรับ
ราคาขายปลีกในประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาเบนซิน 95 ที่ตลาดสิงคโปร์ทำสถิติสูงสุดที่ 90.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทำให้ค่าการตลาดเบนซินเหลือ 30 สตางค์ต่อลิตร ราคาดีเซลสูงถึง 82.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ค่าการตลาดดีเซลคงเหลือ 60 สตางค์ต่อลิตร
(กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า, ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ. ในเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดไว้ รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 50
ก. แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน เม.ย. ดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งแสดงภาวะเงินเฟ้อของ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 น้อยกว่าที่วอลสตรีท
คาดการณ์ไว้ และต่ำกว่าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือน มี.ค. ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อผ่อนคลายลงบ้าง ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน
ที่ไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 จากเดือน มี.ค. และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.3
และอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบปี ทั้งนี้นักวิเคราะห์กล่าวว่าความพยายามที่จะจัดการกับภาวะเงินเฟ้อของ ธ.กลาง เริ่มประสบผลสำเร็จแล้ว
แม้ว่าต้นทุนยา ราคาอาหาร และพลังงานจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม เสริมความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ว่า ธ.กลางสามารถควบคุมภาวะ
เงินเฟ้อได้ ซึ่งที่ผ่านมานับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ธ.กลาง สรอ.ได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนไว้ แต่ก็มีคำเตือนให้ระมัดระวังความเสี่ยง
ด้านเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง การประกาศตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น สรอ. เพิ่มขึ้น ดัชนีอุตสาหกรรมดาวน์โจนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงกว่า 70 จุด
ในการซื้อขายเมื่อตอนเที่ยง เนื่องจากในรายงานมีความเป็นไปได้ว่า ธ.กลาง สรอ.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงครึ่งหลังปีนี้
ส่วนราคาพันธบัตรรัฐบาล สรอ.เพิ่มขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์ สรอ. เมื่อเทียบกับเงินยูโรมีค่าลดลง(รอยเตอร์)
2. เศรษฐกิจ Euro zone ในไตรมาสแรกปี 50 ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์เมื่อ 15 พ.ค.50 Eurostat
ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 0.6 ในไตรมาสแรกปี 50 เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายปี 49 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบต่อปี ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 0.5 ต่อไตรมาสและร้อยละ 2.9 ต่อปี หลังจากในไตรมาสสุดท้ายปี 49 ขยายตัวร้อยละ 0.9 ต่อไตรมาสและร้อยละ 3.3 ต่อปี
โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีขนาดใหญ่สุดใน Euro zone ขยายตัวร้อยละ 0.5 ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.3
ต่อไตรมาส จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจ Euro zone กำลังขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ สอดคล้องกับความเห็นของ
คณะกรรมาธิการยุโรปซึ่งเมื่อวันที่ 7 พ.ค.50 ที่ผ่านมาได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro zone ในปี 50
และปี 51 จากร้อยละ 2.4 และร้อยละ 2.2 เป็นร้อยละ 2.6 และร้อยละ 2.5 ตามลำดับ หลังจากขยายตัวร้อยละ 2.7 ในปี 49
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จึงคาดว่าหลังจากขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดไว้อีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 4.0 ต่อปีในเดือน มิ.ย.50
ที่จะถึงนี้แล้ว ธ.กลางยุโรปหรือ ECB อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในปีนี้ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.25 ต่อปี (รอยเตอร์)
3. เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสแรกขยายตัวแข็งแกร่งแม้จะมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.50 สนง.สถิติกลางของเยอรมนี เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสแรกปีนี้ที่ปรับตัวเลขจาก
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ แล้ว ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งร้อยละ 0.5 จากไตรมาสสุดท้ายปีก่อน สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่นักเศรษฐศาสตร์ 55 คน
คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 และเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 1.0 ในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.49 โดยการลงทุนที่เพิ่มขึ้นมากช่วยชดเชย
การชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 3.0 เมื่อเดือน ม.ค.50 ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า
ระบบเศรษฐกิจของเยอรมนีที่มีขนาดใหญ่สุดในยุโรปดูเหมือนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ และจากตัวเลข
ล่าสุดทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ ธ.กลางสหภาพยุโรปจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อนึ่ง ก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมีความกังวลว่า
การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 3.0 จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอการขยายตัวอย่างรุนแรงหลังจากที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปี 49 ซึ่ง
เป็นอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในรอบ 6 ปี อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านการลงทุนและการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างมากได้ช่วยชดเชย
กับปัญหาการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการค้าต่างประเทศได้เป็นอย่างดี (รอยเตอร์)
4. ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษขยายตัวชะลอลงในเดือน เม.ย.50 รายงานจากลอนดอนเมื่อ 15 พ.ค.50 The Office
for National Statistics เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษในเดือน เม.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนก่อน ทำให้ดัชนี
ชะลอลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.8 เทียบต่อปีจากระดับร้อยละ 3.1 ในเดือนก่อนหน้า เป็นผลจากค่าใช้จ่ายหลักของครัวเรือนที่เคยอยู่ในระดับสูง
ได้แก่ ค่าก๊าซและไฟฟ้าลดลงอย่างมาก อันเนื่องมาจากราคานำเข้าลดลงตามราคาในตลาดโลกตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยการลดลงของ
ค่าก๊าซและไฟฟ้าส่งผลให้ CPI ลดลงร้อยละ 0.23 อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าและเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์กลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6 สูงสุด
นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.44 สาเหตุจากราคาผักสดเพิ่มขึ้นสูงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษ
ในเดือน เม.ย.ดังกล่าว ก่อให้เกิดกระแสความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งเห็นว่าอาจส่งผลให้ ธ.กลางอังกฤษปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 5.75 ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ขณะที่บางส่วนไม่เห็นด้วยกับการคาดการณ์เช่นนั้น ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์
ยังคงรอดูตัวเลขการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจาก ธ.กลางอังกฤษที่จะรายงานในวันพุธนี้อีกครั้ง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 16 พ.ค. 50 15 พ.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.493 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.2783/34.6117 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.10528 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 713.27/9.65 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,950/11,050 10,900/11,000 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 64.99 64.16 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.99*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มเมื่อ 12 พ.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--