วันนี้(18ก.ค.50) เวลา 13.00 น. ที่อาคารทีม กรุ๊ป ถนนนวลจันทร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวบรรยายเรื่อง“จริยธรรมกับการเมืองและธุรกิจ” ตอนหนึ่งว่า วิกฤตที่ต่อเนื่องมาถึงครั้งนี้เหมือนมีอะไรลึกกว่านั้น ไม่ใช่แค่เพิ่งเกิดตอนปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 แต่ไม่ชัดว่าเกิดขึ้นจริงๆในช่วงใด อาจจะไปเจาะจงตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้น แต่ก่อนหน้านั้น เริ่มมีปัญหาความขัดแย้งในสังคมแล้ว และครั้งนี้ที่น่าห่วงที่สุด คือ ความขัดแย้งทางความคิดในสังคมที่ฝังลงไปค่อนข้างลึก แม้เรามีความคาดหวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้เมื่อกลับคืนสู่ประชาธิปไตยและมีการเลือกตั้ง ซึ่งตนถือว่ามีความสำคัญที่นักการเมืองทุกพรรคต้องคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำให้สังคมก้าวพ้นความขัดแย้งได้อย่างไร แม้การเลือกตั้งจะผ่านพ้นแล้ว เพราะเชื่อว่าจะยังมีความขัดแย้งในอีกหลายเรื่อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ถ้าพูดถึงคุณธรรมจริยธรรม ที่ผ่านมาเราจะนึกถึงตัวบุคคล และรู้สึกว่าการสร้างคุณธรรมจริยธรรมคือการทำให้ตัวเองเป็นคนดี แต่ทุกคนก็ไม่มีใครดีหมด บางคนอาจพลั้งเผลอ มีจุดอ่อนบางอย่าง ซึ่งเป็นปกติธรรมดา แต่ปัญหาคุณธรรมจริยธรรมที่มองเห็นชัดเจนคือไม่ได้เป็นเรื่องเจาะจงอยู่กับบุคคลเท่านั้น ในยุคหลังเห็นได้ชัดว่าเรื่องของค่านิยมคุณธรรมจริยธรรมมีผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมโดยรวม และการเมือง และถ้าเราไม่สามรถสร้างคุณธรรมจริยธรรมในระดับสังคมและวงการต่างๆ จะมีปัญหาตามมาไม่จบสิ้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในอดีตที่ผ่านมา ถ้าพูดถึงวิกฤติทางการเมือง อาจจะมองในแง่ว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์หรือการช่วงชิงอำนาจหรือไม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าปฏิวัติรัฐประหารกี่ครั้งประกาศฉบับแรกจะต้องพูดถึงเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นเสมอ และต้องยอมรับด้วยว่าทุกครั้งที่ประกาศเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นประชาชนก็คล้อยตามด้วยโดยเห็นว่านักการเมืองโกงกิน จึงทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ดังนั้น ตนอยากให้คนไทยทุกคนเก็บเกี่ยวบทเรียนว่าความสำคัญของคุณธรรมจริยธรรมมีมาก เราเคยตื่นตัวเมื่อเกิดวิกฤตปี 2540 ได้มีการผลักดันเรื่องนี้มาก สิ่งหนึ่งที่จะทำให้สังคมมีความสงบสุข เข้มแข็ง และมีความสามารถปรับตัวให้ผ่านพ้นวิกฤตมาหลายครั้ง เพราะมีความดีเป็นพื้นฐานอยู่ ตนไม่เชื่อว่าสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราจะยอมแพ้แล้วบอกว่าความดีในสังคมหมดไปแล้ว คนดีท้อถอย คนที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องโกงหรือทำสิ่งที่ผิด ถ้าใครจะเชื่อเช่นนั้น ขอยืนยันว่าตนยังไม่เคยเห็นประเทศใดมีความเจริญยั่งยืนโดยใช้วิธีที่ไม่สอดคล้องหลักคุณธรรมจริยธรรม และจริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นรระบการเมือง ระบบธุรกิจ หรือเศรษฐกิจ ถ้าขาดพื้นฐานด้านคุณธรรมจริยธรรมแล้ว ในที่สุดก็ไปไม่ได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 18 ก.ค. 2550--จบ--
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ถ้าพูดถึงคุณธรรมจริยธรรม ที่ผ่านมาเราจะนึกถึงตัวบุคคล และรู้สึกว่าการสร้างคุณธรรมจริยธรรมคือการทำให้ตัวเองเป็นคนดี แต่ทุกคนก็ไม่มีใครดีหมด บางคนอาจพลั้งเผลอ มีจุดอ่อนบางอย่าง ซึ่งเป็นปกติธรรมดา แต่ปัญหาคุณธรรมจริยธรรมที่มองเห็นชัดเจนคือไม่ได้เป็นเรื่องเจาะจงอยู่กับบุคคลเท่านั้น ในยุคหลังเห็นได้ชัดว่าเรื่องของค่านิยมคุณธรรมจริยธรรมมีผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมโดยรวม และการเมือง และถ้าเราไม่สามรถสร้างคุณธรรมจริยธรรมในระดับสังคมและวงการต่างๆ จะมีปัญหาตามมาไม่จบสิ้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในอดีตที่ผ่านมา ถ้าพูดถึงวิกฤติทางการเมือง อาจจะมองในแง่ว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์หรือการช่วงชิงอำนาจหรือไม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าปฏิวัติรัฐประหารกี่ครั้งประกาศฉบับแรกจะต้องพูดถึงเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นเสมอ และต้องยอมรับด้วยว่าทุกครั้งที่ประกาศเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นประชาชนก็คล้อยตามด้วยโดยเห็นว่านักการเมืองโกงกิน จึงทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ดังนั้น ตนอยากให้คนไทยทุกคนเก็บเกี่ยวบทเรียนว่าความสำคัญของคุณธรรมจริยธรรมมีมาก เราเคยตื่นตัวเมื่อเกิดวิกฤตปี 2540 ได้มีการผลักดันเรื่องนี้มาก สิ่งหนึ่งที่จะทำให้สังคมมีความสงบสุข เข้มแข็ง และมีความสามารถปรับตัวให้ผ่านพ้นวิกฤตมาหลายครั้ง เพราะมีความดีเป็นพื้นฐานอยู่ ตนไม่เชื่อว่าสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราจะยอมแพ้แล้วบอกว่าความดีในสังคมหมดไปแล้ว คนดีท้อถอย คนที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องโกงหรือทำสิ่งที่ผิด ถ้าใครจะเชื่อเช่นนั้น ขอยืนยันว่าตนยังไม่เคยเห็นประเทศใดมีความเจริญยั่งยืนโดยใช้วิธีที่ไม่สอดคล้องหลักคุณธรรมจริยธรรม และจริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นรระบการเมือง ระบบธุรกิจ หรือเศรษฐกิจ ถ้าขาดพื้นฐานด้านคุณธรรมจริยธรรมแล้ว ในที่สุดก็ไปไม่ได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 18 ก.ค. 2550--จบ--