ความวุ่นวายในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง กระทบภาพลักษณ์ในทางลบเกือบ 80%
ประชาชนมากกว่าครึ่ง มีความเห็นว่า “พ.ร.บ.ปรองดอง” ไม่สามารถทำให้เกิดความปรองดองได้ !!!
จากการประชุมพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา และได้เกิดปัญหาความวุ่นวายระหว่างที่มีการประชุมขึ้น จนเป็นกระแสการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ทั้งของฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และประธานสภา และมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาไทย “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่ติดตามข่าวสารการประชุมดังกล่าว ทุกสาขาอาชีพ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยการลงพื้นที่ภาคสนาม และการโทรศัพท์สัมภาษณ์ จำนวนทั้งสิ้น 1,374 คน ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม — 1 มิถุนายน 2555 สรุปผลได้ดังนี้
ฝ่ายรัฐบาล
อันดับ 1 พยายามที่จะหาทางออกให้กับพรรคพวกของตนเองโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง 46.38% อันดับ 2 ได้ทำหน้าที่ของตนเองในการผลักดันให้มีการพิจาณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อย่างเร่งรีบ 33.33% อันดับ 3 รักพวกพ้องมากเกินไป/ หลงกับอำนาจในเสียงข้างมาก 20.29%
ฝ่ายค้าน
อันดับ 1 ใช้วาจา และพฤติกรรมที่รุนแรง ใช้อารมณ์ โดยไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 41.90% อันดับ 2 มีความพยายามในการทำหน้าที่ของตนเอง และตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐบาล 39.52% อันดับ 3 ไม่ได้ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง 18.58%
ประธานสภา
อันดับ 1 ไม่มีความเด็ดขาด สุภาพเกินไป ไม่สามารถควบคุม ส.ส.ในสภาได้ 39.95% อันดับ 2 ไม่มีความเป็นกลางอย่างแท้จริง 33.58% อันดับ 3 มีความพยายามในการทำหน้าที่ของประธานอย่างเต็มที่แล้ว 26.47% 2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาไทยหรือไม่ อันดับ 1 มีผลกระทบ 77.34% เพราะ รัฐสภาเป็นสถานที่อันทรงเกียรติ การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทำให้เห็นถึงความแตกแยกมากกว่าการปรองดอง
มีผลต่อความเชื่อมั่นทั้งของคนไทยและต่างชาติ ฯลฯ
อันดับ 2 ไม่แน่ใจ 17.33% เพราะ ยังไม่เข้าใจเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง เท่าที่ควร ,ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าใครผิดใครถูก, ต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป ฯลฯ อันดับ 3 ไม่มีผลกระทบ 5.33% เพราะ เป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ,ในต่างประเทศมีความรุนแรงมากกว่านี้ ฯลฯ 3. จากสถานการณ์การอภิปราย ร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง ประชาชนคิดว่าจะทำให้การปรองดองเกิดขึ้นได้หรือไม่ อันดับ 1 เกิดขึ้นไม่ได้ 50.56%
เพราะ ต่างฝ่ายต่างถือประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก, มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ฯลฯ
อันดับ 2 ไม่แน่ใจ 32.29%
เพราะ ความขัดแย้งมีความรุนแรงมากขึ้น,แนวทางการปรองดองยังไม่ชัดเจน, ต่างฝ่ายต่างรักพวกพ้องตนเองมากจนเกินไป ฯลฯ
อันดับ 3 เกิดขึ้นได้ 17.15%
เพราะ ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันอย่างจริงจัง คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสำคัญ ฯลฯ
ฝ่ายรัฐบาล ควรปฏิบัติดังนี้
อันดับ 1 ทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์ ดูแลและเร่งแก้ไขปัญหาของประชาชนก่อน 56.79% อันดับ 2 ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎหมาย ข้อบังคับ กฎระเบียบของรัฐสภา และสังคม 22.72% อันดับ 3 ควรรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และควรใช้เหตุผลให้มากกว่าใช้อารมณ์ 20.49%
ฝ่ายค้าน ควรปฏิบัติดังนี้
อันดับ 1 คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ / ช่วยกันหาทางออกเพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้จริง 43.70% อันดับ 2 ควรใช้เหตุผลให้มากกว่าใช้อารมณ์ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมถึงรัฐบาลอย่างใจกว้างและเป็นธรรม 28.70% อันดับ 3 เคารพกฎข้อบังคับ และกติกาของสภา ไม่แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 27.60%
ประธานสภา ควรปฏิบัติดังนี้
อันดับ 1 ต้องมีความเป็นกลาง ยุติธรรม ตรงไปตรงมา ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 51.26% อันดับ 2 ทำหน้าที่โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ 25.73% อันดับ 3 ต้องมีความเด็ดขาด ใช้อำนาจของประธานสภา อย่างถูกต้องและเหมาะสม 23.01% 5. ประชาชนคิดว่า “ทางออกของความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นในรัฐสภาควรแก้ไขอย่างไร อันดับ 1 ให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างจริงจัง และเคารพในข้อบังคับ กฎระเบียบ ของรัฐสภา 46.09% อันดับ 2 เปิดใจให้กว้าง รับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ใช้เหตุผล ใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ 36.02% อันดับ 3 ถอน พ.ร.บ.ปรองดอง ออกไปก่อนเพื่อพิจารณาใหม่ให้รอบคอบก่อนนำเสนอในที่ประชุม 17.89% --สวนดุสิตโพลล์--