จากที่มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่ออภิปรายแบบไม่ลงมติ เมื่อวันที่ 26-27 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อรับฟังความเห็นและช่วยกันหาทางออกในการแก้ปัญหา ความขัดแย้งของบ้านเมืองในขณะนี้ ?สวนดุสิตโพล? มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศที่สนใจติดตามการอภิปรายดังกล่าว จำนวนทั้งสิ้น 1,035 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2563 สรุปผลได้ ดังนี้
อันดับ 1 เป็นเพียงการยื้อเวลาของรัฐบาล ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง 41.94% อันดับ 2 นายกรัฐมนตรียังไม่ลาออก 39.00% อันดับ 3 เป็นเกมทางการเมือง 32.32% อันดับ 4 เป็นทางออกในการแก้ปัญหาสถานการณ์บ้านเมือง 31.93% อันดับ 5 ส.ส. และ ส.ว. ต้องช่วยกันหาทางแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม 28.49% 2. ?ผลบวก? ที่เกิดจากการอภิปรายครั้งนี้ คือ อันดับ 1 ได้เห็นท่าทีของแต่ละฝ่ายชัดเจนมากขึ้น 57.20% อันดับ 2 เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้อภิปราย/แสดงความคิดเห็น 43.93% อันดับ 3 แสดงให้เห็นถึงท่าทีของรัฐบาลในการแก้ปัญหา 36.52% 3. ?ผลลบ? ที่เกิดจากการอภิปรายครั้งนี้ คือ อันดับ 1 เสียเวลา/สิ้นเปลืองงบประมาณ 53.18% อันดับ 2 ไม่ได้ประโยชน์อะไร/ไม่มีอะไรดีขึ้น 53.08% อันดับ 3 แต่ละฝ่ายมีธงของตนเอง/ไม่ยอมกัน 45.73% 4. หลังจากเสร็จสิ้นการอภิปรายในการประชุมสภาสมัยวิสามัญ ประชาชนคิดว่า "ความขัดแย้งทางการเมือง" จะเป็นอย่างไร อันดับ 1 ขัดแย้งเหมือนเดิม 54.40% อันดับ 2 ขัดแย้งมากขึ้น 34.78% อันดับ 3 ขัดแย้งน้อยลง 10.82% 5. ประชาชนคิดว่าการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญครั้งนี้ จะทำให้การเมืองไทยหลังจากนี้เป็นอย่างไร อันดับ 1 เหมือนเดิม 51.69% อันดับ 2 แย่ลง 35.36% อันดับ 3 ดีขึ้น 12.95%
*หมายเหตุ ผู้ตอบสามารถระบุความคิดเห็นได้มากกว่า 1 เรื่อง (ค่าร้อยละจึงคำนวณในแต่ละข้อ)
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง การเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ (เมื่อวันที่ 26-27 ต.ค. ที่ผ่านมา) กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,035 คน สำรวจระหว่างวันที่ 28 ? 30 ต.ค. 2563 พบว่า ประชาชนเห็นว่าการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เป็นเพียงการยื้อเวลาของรัฐบาล ร้อยละ 41.94 ผลบวกที่เกิดจากการอภิปราย คือ ได้เห็นท่าทีของแต่ละฝ่ายชัดเจนมากขึ้น ร้อยละ 57.20 ผลลบ คือ เป็นการเสียเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณ ร้อยละ 53.18 เมื่อการอภิปราย เสร็จสิ้นแล้วเห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองน่าจะเหมือนเดิม ร้อยละ 54.40 และสภาพการเมืองไทยหลังจากนี้ก็จะยังเหมือนเดิม ร้อยละ 51.69
อุณหภูมิทางการเมืองที่ร้อนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงนี้ ท่าทีของรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งของบ้านเมือง การตัดสินใจเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ของนายกฯ เป็นก้าวแรกของการแสดงออกให้เห็นถึงความต้องการในการแก้ปัญหา ทั้งนี้ประชาชนมองว่าเป็นเพียงการยื้อเวลาของรัฐบาลเท่านั้น แต่ก็ทำให้ได้เห็นความชัดเจนของ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมากขึ้น หากรัฐบาลยังคงมีท่าทีเช่นนี้สถานการณ์บ้านเมืองก็น่าจะคงมีความขัดแย้งกันต่อไป
โดย นางสาวพรพรรณ บัวทอง
นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
โทร 086-3766533
ความล้มเหลวของการประชุมครั้งนี้ มีอยู่ 3 ปัจจัยที่ทำให้เห็นว่า ระบบรัฐสภาของไทยยังไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงได้เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง ปัจจัยแรกก็คือ การตั้งหัวข้อในการอภิปรายของการประชุม พบว่าการตั้งหัวข้อนั้นมีเจตนาอย่างชัดเจนที่จะทำให้เกิดการถกเถียงว่าใครเป็น ?ฝ่ายผิด? ต่อวิกฤตการเมืองในครั้งนี้ ปัจจัยที่สอง คือ การคัดสรรผู้อภิปรายของฝ่ายรัฐบาลที่คัดสรรนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมมาเป็นผู้อภิปราย ปัจจัยที่สาม เห็นว่าความล้มเหลวเกิดจากทัศนคติของนักการเมือง ในสภาซึ่งรวมถึงสมาชิกวุฒิสภาที่ต่างมองเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
กล่าวได้ว่า ?รัฐสภาไทย? เป็นองค์กรที่ไร้ประโยชน์และมิใช่เป็นองค์กรที่พึ่งพิงของประชาชนไทยยามเมื่อเกิดวิกฤตทางการเมือง ดังนั้นการแสวงหาทางออกทาง การเมืองของไทยจึงเป็นหนทางที่คับแคบและคงจะต้องมีการเผชิญหน้าเพื่อหาข้อสรุปทางการเมืองอย่างรุนแรงในอนาคต
โดย รศ.ดร.รุ่งภพ คงฤทธิ์ระจัน
โรงเรียนกฎหมายและการเมือง
โทร 095-4841809
ที่มา: สวนดุสิตโพล