/
สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำมายาวนาน อีกทั้งยังมีสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนต้องลำบากมากยิ่งขึ้น นอกจากเป็นปัญหาทางกายแล้วยังส่งผลต่อปัญหาทางใจของคนไทยอีกด้วย เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี ?สภาพจิตใจของคนไทยในยุคโควิด-19? สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,713 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 24-27 พฤษภาคม 2564 สรุปผลได้ ดังนี้
อันดับ 1 เครียดและวิตกกังวล 75.35% อันดับ 2 รู้สึกแย่ สิ้นหวัง 72.95% อันดับ 3 เบื่อ หงุดหงิด 58.27% อันดับ 4 กลัว หวาดผวา 45.19% อันดับ 5 ปกติไม่กังวล 13.50% 2. สิ่งที่ทำให้สภาพจิตใจของคนไทยแย่ลง คือ อันดับ 1 การแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงมากขึ้น 88.33% อันดับ 2 สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ทำมาหากินลำบาก 74.53% อันดับ 3 กังวลเรื่องการฉีดวัคซีน 51.89% อันดับ 4 การเดินทาง การจราจร 36.50% อันดับ 5 เจ็บป่วย/สุขภาพ 15.98% 3. การดูแลสภาพจิตใจของคนไทย ณ วันนี้ อันดับ 1 ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง มีสติ 91.03% อันดับ 2 ศึกษาวิธีป้องกันดูแลด้วยตัวเอง 60.82% อันดับ 3 หาอย่างอื่นทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม โซเชียล 56.60% อันดับ 4 ปรึกษาคนในครอบครัว/เพื่อน 40.88% อันดับ 5 ทำสมาธิ/สวดมนต์/หาที่พึ่งทางใจ 28.97% 4. สิ่งที่อยากให้รัฐบาล/หน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชน เข้ามาช่วย คือ อันดับ 1 เร่งการฉีดวัคซีนโดยเร็ว 74.96% อันดับ 2 เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 60.52% อันดับ 3 ให้ความรู้/ข้อมูลที่ชัดเจน/ไม่ทำให้สับสน 56.51% อันดับ 4 มีมาตรการเยียวยาอย่างทั่วถึง 54.86% อันดับ 5 มีบริการตรวจหาเชื้อโควิดทุกพื้นที่ 49.91% 5. โดยภาพรวมจากปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคโควิด-19 สภาพจิตใจของคนไทยเป็นอย่างไร อันดับ 1 พยายามอดทนแก้ปัญหาเพื่อให้อยู่ได้ 41.97% อันดับ 2 ยังพอทนได้ 38.65% อันดับ 3 ทนแทบไม่ได้ 9.46% อันดับ 4 ไม่อยากทนและท้อถอย 6.13% อันดับ 5 ท้อถอยที่สุด/เกินจะรับมือได้ 3.79% *หมายเหตุ ผู้ตอบสามารถระบุความคิดเห็นได้มากกว่า 1 เรื่อง (ค่าร้อยละจึงคำนวณในแต่ละข้อ) สรุปผลการสำรวจ : สภาพจิตใจของคนไทยในยุค ?โควิด-19?
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี ?สภาพจิตใจของคนไทยในยุค โควิด-19? กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,713 คน สำรวจวันที่ 24-27 พฤษภาคม 2564 พบว่า ประชาชนรู้สึกเครียดและวิตกกังวลมากที่สุด ร้อยละ 75.35 รองลงมาคือรู้สึกแย่ สิ้นหวัง ร้อยละ 72.95 สิ่งที่ทำให้สภาพจิตใจแย่ลง คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงมากขึ้น ร้อยละ 88.33 สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ทำมาหากินลำบาก ร้อยละ 74.53 วิธีการดูแลสภาพจิตใจ คือ การใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง มีสติ ร้อยละ 91.03 ศึกษาวิธีป้องกันดูแลด้วยตัวเอง ร้อยละ 60.82 สิ่งที่อยากให้รัฐบาล/หน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชนเข้ามาช่วยมากที่สุด คือ เร่งการฉีดวัคซีนโดยเร็ว ร้อยละ 74.96% เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ร้อยละ 60.52 จากปัญหาที่เกิดขึ้นโดยภาพรวมประชาชนพยายามอดทน แก้ปัญหาเพื่อให้อยู่ได้ ร้อยละ 41.97
จากผลโพลที่สำคัญพบว่า ประชาชนรู้สึก?ท้อถอยที่สุด/เกินจะรับมือได้? ร้อยละ 3.79 หากเทียบเป็นประชาชน 100 คน จะมีประชาชนเกือบ 4 คน ที่รู้สึกรับมือกับปัญหาต่อไปไม่ไหว ปัญหาโควิด-19 ทำให้กระทบต่อรายได้ การทำมา หากินจนทำให้เกิดความเครียดหนัก ซึ่งตั้งแต่เกิดโควิด-19 ระบาด อัตราการฆ่าตัวตายของประชาชนก็เพิ่มสูงขึ้นคล้ายกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งอีกด้วย สัญญาณนี้รัฐบาลไม่ควรจะนิ่งเฉยควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือดูแลสภาพจิตใจของกลุ่มเปราะบางโดยเร็ว
นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต โทร 086-3766533
จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 พบว่า ประชาชนมีความเครียดและวิตกกังวลที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีการปรับตัวอย่างมาก ทำให้เกิดภาวะสุขภาพจิตต่างๆ ตามมา ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเครียดและวิตกกังวลดังกล่าวเกิดจากปัจจัยทางด้านสังคมและสภาพแวดล้อม เช่น การแพร่ระบาดในระลอกใหม่ สภาพเศรษฐกิจและอัตราการว่างงาน ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งวิธีจัดการกับภาวะสุขภาพจิตสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้สติในการดำเนินชีวิต การผ่อนคลายความเครียด เป็นต้น โดยสิ่งที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้ามาช่วยมากที่สุด คือ การฉีดวัคซีนและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยภาพรวมประชาชนใช้ความอดทนและพยายามแก้ปัญหาต่างๆ อาจเพราะประชาชนยังมีความหวังว่าจะกลับมาใช้ชีวิตในสภาวะปกติได้ในเร็ววัน และยังมีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตโดยหมั่นใส่ใจดูแลสุขภาพจิตของตนเองและคนรอบข้างให้มีความเข้มแข็ง มีพลังใจในการต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ถือเป็นภูมิคุ้มกันทางใจที่มีความสำคัญที่จะสามารถผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี
ผศ.พัศรินท์ ก่อเลิศวรพงศ์
อาจารย์ประจำหลักสูตรจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต