ตามที่กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายฉีดวัคซีนให้กับเด็กนักเรียนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน โควิด-19 และหวังให้เด็กกลับมาเรียนตามปกติให้ได้เร็วที่สุด เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนที่มีบุตรหลานอยู่ในวัยเรียน ?สวนดุสิตโพล?มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีบุตรหลานในวัยเรียนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,089 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน 2564 สรุปผล ได้ ดังนี้ 1. ประชาชนพร้อมให้บุตรหลานไปฉีดวัคซีนหรือไม่ พร้อม 61.43% ขอรอดูก่อน 26.17% ไม่พร้อม 12.40% 2. ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพของวัคซีนที่จะฉีดให้กับเยาวชนอายุ 12-17 ปีหรือไม่ เชื่อมั่น 64.72% ไม่เชื่อมั่น 35.28% 3. ประชาชนคิดว่าการฉีดวัคซีนให้กับเยาวชนอายุ 12-17 ปี มีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน มีผลดีมากกว่า 46.74% มีทั้งผลดีผลเสียพอๆกัน 40.96% มีผลเสียมากกว่า 12.30% 4. เรื่องใดที่ประชาชนเป็นห่วงสำหรับการฉีดวัคซีนให้กับเยาวชนอายุ 12-17 ปี อันดับ 1 อาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน 77.59% อันดับ 2 ผลข้างเคียงของวัคซีนที่มีต่อเยาวชนในระยะยาว 69.42% อันดับ 3 ความรับผิดชอบกรณีหากมีอาการผิดปกติ 62.08% อันดับ 4 ประสิทธิภาพของวัคซีน 61.89% อันดับ 5 สุขภาพร่างกายก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 47.20% 5. ประชาชนอยากให้รัฐจัดการการฉีดวัคซีนแบบใด อันดับ 1 มาฉีดให้ที่โรงเรียน 64.13% อันดับ 2 ผู้ปกครองพาไปฉีดที่โรงพยาบาล 17.02% อันดับ 3 ผู้ปกครองพาไปฉีดที่ศูนย์บริการส่วนกลาง 10.19% อันดับ 4 โรงเรียนพาไปฉีดที่ศูนย์ส่วนกลาง 8.66% 6. ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับการฉีดวัคซีนให้เยาวชนอายุ 12-17 ปี เพื่อให้สามารถไปเรียนที่โรงเรียนได้ตามปกติ เห็นด้วย 75.44% ไม่เห็นด้วย 24.56% *หมายเหตุ ผู้ตอบสามารถระบุความคิดเห็นได้มากกว่า 1 เรื่อง (ค่าร้อยละจึงคำนวณในแต่ละข้อ) สรุปผลการสำรวจ : ?การฉีดวัคซีนให้กับเยาวชนอายุ 12-17 ปี? สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีบุตรหลานในวัยเรียนต่อกรณี ?การฉีดวัคซีนให้กับเยาวชนอายุ 12-17 ปี? จำนวนทั้งสิ้น 1,089 คน ระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน 2564 พบว่า ประชาชนที่มีบุตรหลานพร้อมให้บุตรหลานไปฉีดวัคซีน ร้อยละ 61.43 ขอรอดูก่อน ร้อยละ 26.17 และไม่พร้อม ร้อยละ 12.40 โดยเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพของวัคซีน ร้อยละ 64.72 คิดว่าการฉีดวัคซีนมีผลดีมากกว่าผลเสีย ร้อยละ 46.74 มีทั้งผลดีและผลเสียพอ ๆ กัน ร้อยละ 40.96 เรื่องที่เป็นห่วงคืออาการข้างเคียงหลังฉีด ร้อยละ 77.59 ทั้งนี้อยากให้จัดการฉีดวัคซีนให้ ที่โรงเรียน ร้อยละ 64.13 และเห็นด้วยกับการฉีดวัคซีนเพื่อให้เปิดเรียนได้ตามปกติ ร้อยละ 75.44 ผู้ปกครองพร้อมให้บุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนถึงแม้ยังกังวลเรื่องผลข้างเคียง โดยคาดว่าจะช่วยให้บุตรหลานสามารถไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยลดระดับความเครียดของผู้ปกครองในการดูแลบุตรหลานที่บ้านอีกด้วย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลโพลในต่างประเทศ พบว่าผู้ปกครองยังไม่พร้อมมากนักเพราะยังกังวลผลในระยะยาว วัคซีนสำหรับเด็กอาจเป็นตัวเปลี่ยนสถานการณ์โควิด-19 ได้ และเด็กทุกคนรวมถึงเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาไปแล้วก็ควรได้รับสิทธิในการฉีดวัคซีน ซึ่งการฉีดวัคซีนที่ป้องกันสายพันธุ์เดลต้าได้จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการฟื้นฟูด้านการศึกษาและเศรษฐกิจของประเทศ
นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต โทร 086-3766533
จากผลการสำรวจพบว่าประชาชนมีความพร้อมที่จะให้บุตรหลานเข้ารับวัคซีน อาจเนื่องจากความเชื่อมั่นในการป้องกันอาการรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับข้อมูลที่พบว่าหลายประเทศได้เริ่มมีการฉีดให้กับเด็กในวัยนี้ จึงทำให้เห็นว่ามีผลดีมากกว่าผลเสีย โดยเฉพาะเรื่องการเปิดโรงเรียนเพื่อเรียนได้ตามปกติ แต่อย่างไรก็ตามจากผลการสำรวจพบว่า ประชาชนยังกังวลเกี่ยวกับอาการข้างเคียงของการได้รับวัคซีน เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่จะเกิดในเด็กที่ได้รับวัคซีนแล้ว อาจยังมีค่อนข้างน้อย และสำหรับประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้นในการฉีดวัคซีนให้กับเด็กกลุ่มนี้ ข้อมูลยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนมั่นใจหรือลดความเป็นห่วง ทั้งนี้การสร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการฉีดวัคซีน รวมถึงวิธีการปฏิบัติตัวก่อนและหลังรับวัคซีน และข้อมูลเกี่ยวกับอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับวัคซีน จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค เป็นต้น จะช่วยลดความกังวลลงได้
อาจารย์ ดร.รุ่งนภา ป้องเกียรติชัย
ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรพยาบาลศาสตร์
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต