นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงิน-บัญชี บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK) คาดว่า ในปีนี้บริษัทจะมีอัตรากำไรขั้นต้นมาอยู่ที่ 40% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 38-39% เนื่องจากบริษัทมีการรับรู้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ในอัตราที่สูง 41.09% จากโครงการชวนชื่นโมดัส และชวนชื่นวัชรพล
"ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ถึงแม้โครงการที่เหลือจะมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่มากเท่าไตรมาส 1 แต่เมื่อถัวเฉลี่ยแล้วจะได้ 40%"นางสาวชุติมากล่าว
นางสาวชุติมา กล่าวว่า แม้จะมีการเปิดโครงการทาวน์เฮ้าส์ในช่วงต้นไตรมาส 4 ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่าโครงการแนวราบคือบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่มีระดับราคา 3-5 ล้านบาท แต่การพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์จะถือว่าเป็นการเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ ขณะเดียวกันเม็ดเงินที่ได้ก็จะมากภายใต้พื้นที่ในการพัฒนาเท่ากัน โดยโครงการดังกล่าวจะมีมูลค่า 300 กว่าล้านบาท ซึ่งถืออยู่ในแผนการเปิดโครงการของบริษัทที่จะเปิดขายในเฟสต่อเนื่อง 2 โครงการและโครงการทำเลใหม่ที่จะเปิดในปีนี้ต้นเนื่องต้นปี 53 รวมเป็น 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.5 พันล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทได้มีการทยอยใช้เม็ดเงินในการซื้อที่ดินไปแล้ว 300 ล้านบาท จากงบฯ 500-600 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาที่จะซื้อเพิ่มอีก 1-2 แปลง
ส่วนยอดขายในไตรมาส 2 เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ต่ำกว่าไตรมาส 1 ที่ยอดขาย 1.7 พันล้านบาท โดยเฉพาะในเดือนพ.ค.มียอดขาย 180 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.ที่ 130 ล้านบาท แต่หากเปรียบเทียบกับยอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาส 1 ที่มียอดรับรู้ 700 ล้านบาท เพราะมีลูกค้าบางส่วนเร่งการโอนในไตรมาส 1 จากมาตรการภาษีล็อตแรก
อย่างไรก็ตาม จากการที่ทางการต่ออายุนโยบายทางภาษีไปถึงมี.ค. 53 ส่งผลให้บริษัทมีการเร่งบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายให้มีจำนวนยูนิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 150 ยูนิต จากเฉลี่ย 100 ยูนิต อีกทั้งเพื่อให้รับรู้รายได้เร็ว
นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญตลาดในเชิงรุกมากขึ้น เน้นกิจกรรมการตลาด อีกทั้งการที่เรามีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก 343 ล้านบาทในไตรมาส 1 และด้วย D/E ที่ 0.33 เท่าทำให้บริษัทสามารถมีเม็ดเงินในการรองรับการขยายงานในอนาคตซึ่งบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาทที่เป็นเป้าหมายของบริษัทยังเป็นกลุี่มที่มีการเติบโตที่ดีและมีความเสี่ยงน้อยเมื่อเทียบกับบ่านที่ระดับราคา 1 ล้านบาทขึ้นไป