TASCO ปี 52 รายได้สูงกว่าคาด-พลิกกำไร,ลุ้นงบกระตุ้นศก.ดันปริมาณขายพุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 4, 2009 09:36 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์(TASCO)ระบุราคาน้ำมันขาขึ้นในขณะนี้อาจทำให้รายได้ปี 52 มีโอกาสสูงกว่าประมาณการเดิมที่ 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากทิศทางราคายางมะตอยจะปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่ปริมาณขายได้แรงหนุนจากยอดขายในประเทศฟื้นตัวจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดส่งออกที่ยังขยายตัวสูง เชื่อปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรแน่ แต่จะมากน้อยแค่ไหนยังต้องขึ้นกับอีกหลายปัจจัย

นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ TASCO เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในช่วงต้นปีบริษัทประเมินรายได้ทั้งปีนี้ที่ 1 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจาก 9.4 พันล้านบาทในปี 51 ซึ่งการประเมินดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ขณะนี้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปที่ 68 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแล้ว ซึ่งจะทำให้ราคายางมะตอยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

สำหรับราคายางมะตอยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันถือว่าทรงตัว แต่หากราคาน้ำมันดิบขยับขึ้น ราคายางมะตอยก็ต้องปรับขึ้นตาม โดยขณะนี้ราคายางมะตอยพื้นฐานขณะนี้อยู่ที่ 13,500 บาท/ตัน ซึ่งคาดว่าในเดือน ก.ค.52 ราคาจะปรับขึ้นอีกประมาณ 7% ตามราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ทิศทางราคาน้ำมันในปัจจุบันยังถือว่าไม่มีความไม่แน่นอน ดังนั้น บริษัทก็จะเน้นเรื่องปริมาณขายมากกว่า

"อิทธิพลของราคายางมะตอยที่จะขึ้นได้เป็นเรื่องของดีมานด์-ซัพพลายเหมือนธุรกิจปิโตรเคมี อย่างไรก็ตาม ปีนี้เราบริหารสภาพคล่องได้ดีและสามารถมองครบทุกมุมมองได้มากขึ้น โดยราคาน้ำมันถือว่าเกี่ยวกับราคายาง 100%" นายชัยวัฒน์ กล่าว

ขณะที่ในด้านกำไรนั้น นายชัยวัฒน์ มั่นใจว่า ปีนี้จะพลิกเป็นกำไรได้ เนื่องจากส่งออกเติบโตถึงกว่า 40% และยอดขายในประเทศกลับมาเป็นปกติ ประกอบกับ ในช่วงขาขึ้นของราคายางมะตอยจะมีอัตรากำไรขั้นต้นดีกว่าช่วงขาลง และสามารถประมาณการมาร์จิ้นได้ดี

"ผลประกอบการปี 52 จะกลับมาเป็นกำไร ต้องรอพ.ร.ก.เงินกู้เข้าสภาวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ และราคาน้ำมัน ปกติกำไรจะมากหรือน้อยขึ้นกับราคาขายในตลาด"นายชัยวัฒน์ กล่าว

TASCO และบริษัทย่อย ปี 51 ขาดทุน 1.09 พันล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/52 มีกำไรสุทธิ 133.09 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.87 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 43.49 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.29 บาท

*ยออดขายในปท.ฟื้น-ส่งออกพุ่งแรง ลุ้นงบกระตุ้นศก.ระยะ 2 ช่วยดันเติบโตต่อ

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าปริมาณการขายรวมในปีนี้จะอยู่ที่ 5.5 แสนตัน จากปีก่อนที่ปริมาณขายอยู่ที่ประมาณ 5 แสนตัน โดยยอดขายในปีนี้แบ่งเป็นปริมาณขายในประเทศ 2 แสนตัน ซึ่งเติบโตขึ้น 10% จากปีก่อน ขณะที่อีก 3.5 แสนตันเป็นปริมาณขายในต่างประเทศ ซึ่งเติบโตถึง 45% จากปีก่อนที่ส่งออก 2.35 แสนตัน

ในด้านการส่งออก ปัจจุบัน บริษัทมีการส่งออกไปยังจีนมากที่สุดสัดส่วนประมาณ 35% ของยอดส่งออก แต่ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทได้ลดบทบาทของตลาดจีนลงไปเพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพามากเกินไปหลังจากได้รับผลกระทบจากจีนชะลอการก่อสร้างช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค โดยหันไปเน้นการส่งออกไปยังประเทศออสเตรเลีย เวียดนาม และประเทศอื่นๆ โดยคาดว่าปีนี้จะส่งออกไม่น้อยกว่า 17 ประเทศ จากปีก่อน 19 ประเทศ

"ตอนนี้ตลาดต่างประเทศเติบโตขึ้นเยอะ จีนเรากลับไปสู่ภาวะปกติเพราะเรามีซัพพลายของตัวเอง"นายชัยวัฒน์ กล่าว

นอกจากนั้น ยอดขายในต่างประเทศยังได้รับผลดีจากการที่โรงกลั่นยางมะตอยในประเทศอื่นปิดตัว ทำให้ลูกค้าหันมาซื้อจากบริษัทมากขึ้น เพราะ TASCO ไม่เคยปิดคลัง และมีความสามารถในการจัดเก็บได้ 27,000 ตัน

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับปริมาณขายในประเทศที่เพิ่มขึ้น มาจากปริมาณความต้องการใช้กลับเข้าสู่ภาวะปกติเหมือนปี 50 หลังจากปี 51 เป็นภาวะถดถอยของความต้องการใช้ยางมะตอย เพราะความไม่นิ่งทางการเมืองในบ้านเรา บวกกับรัฐบาลระบบจัดสรรงบประมาณเข้าราชการไม่ปกติ ทำให้ยอดขายในช่วงครึ่งหลังของปี 51 ลดเหลือเพียงครึ่งเดียวของยอดขายปกติ

แต่ในปี 52 ประเมินว่าสถานการณ์กลับสู่ปกติ เนื่องจากปีนี้ภาครัฐมีงบประมาณภายใต้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาหลายโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงบประมาณในโครงการก่อสร้างและปรับปรุงถนน และยังมีแนวโน้มที่ดีในระยะต่อไป จากการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท

โดยเฉพาะโครงการถนนปลอดฝุ่น 1.7-1.9 พันล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 ปี(52-54)ที่จะทยอยใช้งบประมาณออกมาโดยปีแรก 20% ปีที่ 2 และปีที่ 3 ปีละ 40% ทำให้มีการต้องการใช้ยางมะตอยเพิ่มขึ้น และเนื่องจาก TASCO มีมาร์เก็ตแชร์ Asphalt Cement 41% Asphalt Emulsion 71% จะช่วยหนุนให้บริษัทรับงานเพิ่มมากขึ้น

TASCO มีผลิตภัณฑ์ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Asphalt Cement(AC), Asphalt Emulsion(AE) และ Polymer Modified Asphalt(PMA) ปัจจุบัน บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดยางมะตอยพื้นฐาน 41% และยางมะตอยน้ำ 71%

*โรงกลั่นฯในมาเลเซียเปิดเดินเครื่องได้แล้วในวันนี้

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า โรงกลั่นยางมะตอยของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซียจะเริ่มเปิดเดินเครื่องได้อีกครั้งในวันนี้ หลังจากปิดซ่อมบำรุงไประยะหนึ่งในช่วงไตรมาส 2/52 ซึ่งจะช่วยให้ยอดขายดีขึ้นจากกำลังผลิตที่เพิ่มเข้ามา โดยเฉพาะยอดขายในต่างประเทศ โดยโรงกลั่นฯ แห่งนี้มีกำลังผลิต 700,000 ตัน/ปี

อย่างไรก็ตาม กิจการโรงกลั่นฯในมาเลเซียยังคงขาดทุนอยู่ และยังไม่สามารถคาดกาณณ์ได้ว่าจะคุ้มทุนเมื่อใด ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องของผู้ถือหุ้น แต่ขณะนี้แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการพยายามขอกู้เงินในระยะยาวจากสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ด้วยตัวเอง

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า โรงกลั่นฯ ดังกล่าวเป็นภาระช่วงหนึ่ง เพราะเป็นการลงทุนใหม่ ซึ่งภายหลังจากแก้ไขปัญหาเรื่องผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนก.ค.51 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเข้าไปถือหุ้น 80% และควบคุมอำนาจการบริหารทั้งหมด ดังนั้น ขณะนี้บริษัทสามารถซื้อน้ำมันดิบป้อนเข้าไปได้แล้ว

"โรงกลั่นมาเลย์ ตอนนี้ยังไม่มีวงเงิน working capital สิ่งที่บริษัทแม่ต้องทำคือใช้เงินไปซื้อวัตถุดิบป้อนโรงกลั่นเพื่อผลิตให้ได้ปริมาณมากขึ้น"นายชัยวัฒน์ กล่าว

สำหรับการลงทุนใหม่ในปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโรงกลั่นฯ มาเลเซีย เรื่องถังเก็บน้ำมันดิบใหม่ 2 ลูก เพื่อให้สามารถเก็บน้ำมันดิบได้ปริมาณมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ