LL ชะลอโครงการ ตจว.-เล็งขายที่ดินบางโครงการ, เปิดรับพันธมิตรทุกรูปแบบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 11, 2009 14:50 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลิฟวิ่งแลนด์ แคปปิตอล(LL)เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจชะลอการลงทุนในโครงการต่างจังหวัดทั้งหมด และหันมาเน้นพัฒนาโครงการที่เป็นแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด โฮมออฟฟิศ อาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยทุกโครงการที่อยู่ในแผนอยู่ระหว่างทบทวนรูปแบบและลดขนาดโครงการลง คุมมูลค่าแต่ละโครงการไม่เกิน 300-500 ล้านบาทเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ปัจจุบัน LL มีแผนจะพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดจำนวน 5 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 1,528.95 ล้านบาท คือ โครงการเดอะเมเปิ้ล(อังเกตุ)พัทยา, ไพน์เนอรี่ พาร์ค บีช ระยอง, เดอะโคลเวอร์ ภูเก็ต, บ้านมณีคราม ภูเก็ต และเดอะโคลเวอร์ เชียงใหม่ ทั้งหมดบริษัทตัดสินใจชะลอการลงทุนและพัฒนา ในจำนวนนี้มีบางโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องขายที่ดินให้ผู้สนใจ

"เราตัดสินใจชะลอโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด เพราะทุกโครงการเราเจาะเมืองท่องเที่ยว ตั้งใจจับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวต่างชาติมาพักอาศัยในประเทศไทย แต่พอสถานการณ์เศรษฐกิจส่งผลกระทบมาตั้งแต่ปีที่แล้ว กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ได้รับผลกระทบทั้งหมด"นายภัทรลาภ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์

*เล็งขายที่ดินบางโครงการที่ยังไม่ได้มีการพัฒนา

นายภัทรลาภ กล่าวยอมรับว่า มีแนวคิดที่จะขายที่ดินบางโครงการที่ยังไม่มีการขึ้นโครงการ ซึ่งตอนนี้ก็มีคนสนใจติดต่อมาขอซื้อแล้ว แต่อยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องราคา

"เพราะถ้าเราชะลอการลงทุน เก็บไว้ก็มีแต่ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น ถ้าขายได้ราคาดีก็น่าจะขาย แล้วพอจะตัดสินใจลงทุนในต่างจังหวัดค่อยมาว่ากันอีกที"นายภัทรลาภ กล่าว

สำหรับโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่อยู่ระหว่างการทบทวนแผน เช่น โครงการลิฟวิ่ง นีโอ ลาดกระบัง ซึ่งของเดิมเป็นทาวน์เฮ้าส์ ทั้งหมด จำนวน 200 ยูนิต ของใหม่จะเป็นทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝด รวมแล้วไม่ถึง 200 ยูนิต มูลค่าโครงการจะลดลงจากเดิมที่ตั้งไว้ 589 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการในไตรมาส 3/52 และกำหนดปิดโครงการปี 55

โครงการเดอะเมเปิ้ล ทุกทำเล ทั้งรามคำแหงและแจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นโครงการคอนโดฯ ก็จะเปลี่ยนมาเป็นแนวราบ อย่างเดอะเมเปิ้ล รามคำแหง ของเดิมเป็นคอนโดมิเนียม 8 ชั้น จำนวน 14 แท่ง มูลค่า 1,480 ล้านบาท ก็อยู่ระหว่างทบทวน คาดว่าจะปรับโครงการใหม่และลดขนาดลง ซึ่งมูลค่าโครงการก็จะลดลงตามมาด้วย คาดว่า Concept โครงการน่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.นี้ แล้วจะนำไปเสนอกับธนาคารขอปรับลดวงเงินกู้ เพราะวงเงินเดิมขอกู้ไว้สำหรับทำคอนโดฯ

*ชี้แนวราบสร้าง-ขายเร็วกว่ามาก

นายภัทรลาภ กล่าวถึงข้อดีของการทำโครงการแนวราบ คือ ความเร็วของการสร้างและการขายดีกว่าโครงการประเภทคอนโดฯ

"โครงการคอนโดฯ ใช้เวลาสร้างอย่างน้อย 2-3 ปี ซึ่งจำนวน 14 ตึกเมื่อแบ่งเฟสจะกินเวลานานออกไปอีก อาจจะนานถึง 7 ปี แต่ถ้าเป็นแนวราบ ระยะเวลาการก่อสร้างอย่างน้อย 6 เดือนเสร็จ แล้ว Speed การขายก็น่าจะดีกว่าด้วย น่าจะปิดโครงการเร็ว แทนที่เราจะได้ 1.5 พันล้านบาทใน 7 ปี เราอาจจะได้ 600 ล้านบาทภายใน 2 ปี แล้วเอา 600 ล้านบาทไปทำโครงการเพิ่มอีก 3 โครงการก็จะได้ 1.5 พันล้านบาทภายใน 7 ปีเหมือนกัน"นายภัทรลาภ กล่าว

โครงการลิฟวิ่งนารา รังสิต เฟส 3 บ้านเดี่ยวจำนวน 83 ยูนิต มูลค่าโครงการ 314 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างและเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ และ โครงการ ลิฟวิ่ง นีโอ ธัญญะบุรี ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 278 ยูนิต มูลค่าโครงการ 389 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าหลังจากขึ้นโครงการลิฟวิ่งนารา รังสิต เฟส 3 ไปแล้วจึงจะเริ่มเปิดขาย

สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากโครงการที่ทำอยู่และจากการกู้สถาบันการเงิน และหลายๆ โครงการเจ้าของที่ดินก็เริ่มอยากจะมาร่วมทำด้วย โดยทุกโครงการบริษัทตั้งเป้าผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR)เป็นตัวเลข 2 Digits กว่าๆ ด้วยความที่ Period สั้นกว่า IRR ดีกว่าแน่นอนเพียงแต่โครงการแนวราบมีหลายประเภทแต่ละประเภท IRR จะไม่เท่ากัน

*เปิดรับพันธมิตรทุกรูปแบบ

นายภัทรลาภ กล่าวว่า ภาวะตลาดแบบนี้ยอมรับว่ามีแนวคิดที่จะเปิดรับพันธมิตรเพื่อมาช่วยทำโครงการแทนที่จะทำเองเพียงลำพัง โดยเปิดรับทุกรูปแบบทั้งสำหรับโครงการในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด บางโครงการเจ้าของที่ดินก็อยากจะร่วมทุนกับเรา ก็อาจจะจดทะเบียนตั้งบริษัทย่อยแล้วเข้ามาถือหุ้นในบริษัทย่อยมากกว่า หรือบางคนอยากลงแต่เงิน บางคนอยากลงแค่ที่ดินเราลงเงินก็มีที่กำลังศึกษากันอยู่

"เราคงไม่ทำเองทั้งหมด ยินดีรับพิจารณาพันธมิตรทุกรูปแบบ ตอนนี้ก็มีที่กำลังศึกษากันอยู่ ผมว่าเรื่องแบบนี้สำหรับภาวะปัจจุบันไม่ได้ปิดกั้น ถ้าการเจรจาลงตัวด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ยังไม่มีใครติดต่อมาขอซื้อกิจการ"นายภัทรลาภ กล่าว ซึ่งเป็นการปฏิเสธกระแสข่าวที่ระบุว่า LL เป็นหนึ่งในกิจการที่"หมอบุญ"จ้องเทคโอเวอร์

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเหลือทุนจดทะเบียนยังไม่ได้เรียกชำระอีกจำนวน 235,000,000 บาท ซึ่งเราคงจะเรียกชำระเงินเพิ่มทุนโดยพิจารณาจากภาวะโดยรวม ซึ่งมองว่าภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยมีความน่าลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง ทั้งราคาที่ดิน ราคาสินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์

ก่อนหน้านี้ LL ได้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,015,000,000 บาทในวันที่ 29 มิถุนายน 2550 และได้มีการเรียกทุนชำระแล้วจำนวน 780,000,000 บาท

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 52 บริษัทจะพยายามรักษารายได้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 1,248.69 ล้านบาท ซึ่งเป็นการมองแบบ Conservative ส่วนที่งบการเงินไตรมาส 1 ปี 52 ออกมาขาดทุนประมาณ 120 ล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากบริษัทมีรายได้ลดลง เนื่องจากการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ