นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) กล่าวว่า บริษัทได้พูดคุยกับพันธมิตรด้านโทรคมนาคม 6-7 รายเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือทางธุรกิจ โดยเฉพาะการลงทุนในระบบเทคโนโลยี 3G ที่จะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก แต่การหาข้อสรุปการเจรจาคงไม่รีบร้อน ต้องรอให้บริษัทประมูลใบอนุญาตจากทางการได้เสียก่อน ซึ่งขณะนี้ก็ได้เตรียมกระแสเงินสดไส้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทแล้ว
สำหรับพันธมิตรที่บริษัทเคยเจรจานั้น หนึ่งในจำนวน 6-7 ราย ก็คือ ไชน่า โมบายล์ ธุรกิจโทรคมนาคมใหญ่จากจีน แต่ไม่เคยมีการเจรจากับสิงคโปร์เทเลคอม ซึ่งเป็นธุรกิจโทรคมนาคมของสิงคโปร์ โดยการเจรจากับทุกรายยังอยู่แค่ในขั้นตอนของการพูดคุย หลังจากสถาบันการเงินแนะนำให้ทำความรู้จักกัน
นายศุภชัย กล่าวว่า หากบริษัทตัดสินใจจะขายหุ้นให้กันพันธมิตร คงจะเปิดทางให้เข้ามาถือหุ้นได้ไม่เกิน 25% เท่านั้น โดยจุดประสงค์คือต้องการความช่วยเหลือจากพันธมิตรทั้งในแง่ของเงินทุนและเทคโนโลยีจากบริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่จากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดก็ต้องขึ้นกับข้อกำหนดของคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) เพราะหากข้อกำหนดของใบอนุญาต 3G เปิดให้ผู้ให้บริการสามารถทยอยลงทุนได้ บริษัทก็อาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาพันธมิตรเข้ามา เพราะยอมรับว่าการมีพันธมิตรอาจจะส่งผลต่อการบริหาร
สำหรับกระแสข่าวเรื่องพันธมิตรใหม่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันในช่วงนี้นั้น นายศุภชัย ตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีคนบางกลุ่มพยายามปล่อยข่าวเพื่อเก็งกำไรหุ้น TRUE ที่เคลื่อนไหวตามข่าวง่าย เนื่องจากตัวบริษัทไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ ดังนั้นทางฝ่ายบริหารจะเร่งสร้างประสิทธิภาพและเสถียรภาพ แต่ก็อยากเตือนให้นักลงทุนศึกษาข้อเท็จจริงก่อนการลงทุน
*ทยอยออกหุ้นกู้รีไฟแนนซ์หนี้ต่างประเทศ
นายศุภชัย กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีแผนจะรีไฟแนนซ์หนี้เงินสกุลดอลลาร์ที่มีอยู่เกือบ 50% ของจำนวนหนี้ทั้งหมด ให้เหลือเพียง สัดส่วน 20% หรือคิดเป็นมูลหนี้ประมาณ 2.-2.5 หมื่นล้านบาท จากมูลหนี้ทั้งหมด 7.3 หมื่นล้านบาท โดยแนวทางที่จะใช้รีไฟแนนซ์ คือ การทยอยออกหุ้นกู้สกุลบาท ซึ่งถือว่าตอนนี้ภาวะเหมาะสมทั้งในด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน
"ตอนนี้บริษัทก็สนใจที่จะออกหุ้นกู้เพิ่มเติม แต่ต้องรอดูจังหวะที่เหมาะสมและความพร้อมของตลาด แต่คิดว่ายิ่งเร็วน่าจะยิ่งดี แต่เราจะทยอยออกคงไม่ออกทั้งก้อน เพราะตอนนี้เรามีหนี้ที่มีผลตอบแทนสูง" นายศุภชัย กล่าว
หากสามารถรีไฟแนนซ์สำเร็จก็จะช่วยให้ผลประกอบการของบริษัททั้ง Top Line และ Bottom Line กลับมาดีขึ้น และปีนี้เชื่อว่าจะมีกำไรสุทธิต่อเนื่องจากปีก่อน แต่ที่ผ่านมาในช่วงไตรมาส 1/52 บริษัทมีผลกำไรจากการดำเนินงาน แต่เมื่อรวมภาระหนี้แล้ว บริษัทกลับขาดทุนเพราะเงินบาทอ่อนค่า แต่บริษัทก็ไม่ต้องการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าด้วย เพราะไม่ใช่กำไรที่แท้จริงจากการดำเนินงาน