ทริสเรทติ้งประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดเดิมของ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่ระดับ “A+" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์การค้า ตลอดจนผลงานในการบริหารศูนย์การค้าที่มีคุณภาพสูง กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าและค่าบริการ และนโยบายทางการเงินที่มีความระมัดระวัง ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงแผนการขยายงานของบริษัท และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลงด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความสามารถในการรักษาสถานภาพที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจบริหารศูนย์การค้า โดยคาดว่าการที่บริษัทมีสัญญาเช่าระยะเวลา 3 ปีกับผู้เช่าพื้นที่ ตลอดจนการมีอัตราการเช่าศูนย์การค้าภายใต้การบริหารของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง และนโยบายทางการเงินที่มีความระมัดระวังจะช่วยให้บริษัทสามารถประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาตกต่ำของภาวะเศรษฐกิจและการบริโภคโดยรวมไปได้
CPN เป็นผู้พัฒนาศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศโดยมีตระกูลจิราธิวัฒน์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 32% รองลงมาคือ บริษัท เซ็นทรัล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของไทย ในสัดส่วน 27%
การเป็นบริษัทในเครือเซ็นทรัลทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการมีห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเป็นผู้เช่าพื้นที่รายสำคัญ ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าจำนวน 14 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดสำคัญๆ โดยมีพื้นที่ค้าปลีกรวม 915,394 ตารางเมตร (ตร.ม.) พื้นที่ค้าปลีกของบริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5.8% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าอัตราการขยายตัวของพื้นที่ค้าปลีกรวมในเขตกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 4.9% ต่อปี
บริษัทคงความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารศูนย์การค้าในประเทศมาอย่างต่อเนื่องและมีส่วนแบ่งทางการตลาด 24% ณ สิ้นปี 51 ทั้งนี้ การเปิดให้บริการของศูนย์การค้าใหม่ 3 แห่ง ตลอดจนการซื้อโครงการเจริญศรีคอมเพล็กซ์ และความสำเร็จในการต่ออายุสัญญาเช่าศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าวไปอีก 20 ปีถือเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทให้มั่นคงยิ่งขึ้น
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า CPN มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นผลจากการมีอัตราการเช่าพื้นที่ในระดับสูงและรายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าสาขาเดิมที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเช่าศูนย์การค้าทั้ง 10 แห่งโดยเฉลี่ยที่ระดับ 94.4% ต่อปี แม้จะเปิดตัวในช่วงเศรษฐกิจถดถอย แต่ศูนย์การค้าใหม่ทั้ง 3 แห่งของบริษัทก็ยังคงมีผู้เช่าพื้นที่อยู่ในระดับสูงตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการ ณ เดือนมีนาคม 52
อัตราการเช่าศูนย์การค้าของบริษัทโดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 96.7% ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ระดับ 92.9% รายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าสาขาเดิมของบริษัทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 52 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้ค่าเช่ารวมเพิ่มขึ้น 23% มาอยู่ที่ 2,451 ล้านบาท ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่งคือ เซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ และเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยาบีช
บริษัทมีความต้องการเงินลงทุนในปี 52 ประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งรวมเงินลงทุนในการซื้อโครงการเจริญศรีคอมเพล็กซ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย สำหรับแผนการพัฒนาโครงการระหว่างปี 53-55 นั้น บริษัทมีความต้องการใช้เงินลงทุนประมาณ 5,000-7,000 ล้านบาทต่อปี โดยบริษัทเตรียมจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการดังกล่าวจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและการกู้ยืม บริษัทมีเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 18,505 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 52 และมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 53.98% ทั้งนี้ คาดว่าอัตราการก่อหนี้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงหากบริษัทสามารถให้เช่าหรือเช่าช่วงศูนย์การค้าบางแห่งแก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าดัชนีค้าปลีกซึ่งประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 และมีอัตราการเติบโตลดลง 10.8% ในไตรมาสที่ 1 ของปี 52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เติบโตลดลง 7.1% ในช่วงเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยลดจาก 80.7 ในเดือนมีนาคม 2551 มาอยู่ที่ระดับ 71.5 ในเดือนพฤษภาคม 52 ทั้งนี้ แนวโน้มการถดถอยของภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและการใช้จ่ายภาคเอกชนถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออันดับเครดิตของ CPN