ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร KGI ที่ "BBB+" พร้อมแนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 29, 2009 10:32 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

ทริสเรทติ้งประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ที่ ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถด้วยผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับ ตลอดจนฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดตราสารอนุพันธ์ และการมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจจัดการกองทุน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งจากความไม่แน่นอนของตลาดหลักทรัพย์และความเสี่ยงทางการตลาดที่ไม่อาจคาดเดาได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความไม่แน่นอนที่เกิดจากความเสี่ยงด้านนโยบายการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่า บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารกองทุนของ บลจ. วรรณ ต่อไปแม้ว่าสภาพคล่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ โดยคาดว่าการขยายธุรกิจจะทำได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีสินทรัพย์รวม 6,655 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในบรรดาบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศทั้ง 38 แห่ง บริษัทให้บริการครอบคลุมทั้งธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ วาณิชธนกิจ ตลอดจนธุรกิจการค้าและการลงทุนในหลักทรัพย์ บริษัทยังให้บริการบริหารกองทุนผ่านทางบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 97% คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ด้วย บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในอันดับที่ 11 จากจำนวน 38 บริษัทในปี 2551 และเลื่อนขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 8 ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2552

ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจดังกล่าวปรับลดลงเล็กน้อยจาก 4.18% ในปี 2550 เป็น 3.75% ในปี 2551 จากผลของการที่ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลง และปริมาณการซื้อขายจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยในประเทศและกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่ลดลงด้วย แต่ก็ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.97% สำหรับ 5 เดือนแรกของปี 2552 นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจตัวแทนซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่ทำการซื้อขายใน บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 8.95% ในปี 2551 และ 8.90% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2552 แม้ส่วนแบ่งทางการตลาดของตราสารอนุพันธ์ของบริษัทจะตกลงจากระดับ 13.55% ในปี 2550 และ 16.53% ในปี 2549 แต่บริษัทยังคงมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจตราสารอนุพันธ์เติบโตอย่างยั่งยืนนั้นมาจากความสามารถในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ การขยายตัวของตลาด ปริมาณการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า และการมีนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในด้านดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น

ทริสเรทติ้งกล่าวถึงรายได้จากค่าธรรมเนียมว่า แม้ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้ขยายงานด้านวาณิชธนกิจมาตั้งแต่ปี 2546 แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างรายได้ที่มากพอจากธุรกิจนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการรับรู้รายได้ในระดับที่ดีและสม่ำเสมอจาก บลจ. วรรณ ซึ่งเป็นบริษัทลูก โดยมีสัดส่วนรายได้ถึง 15.76% และ 28.10% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2551 และ 3 เดือนแรกของปี 2552 ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนในหลักทรัพย์ด้วย ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ในรูปของกำไรจากเงินลงทุน ดอกเบี้ย และเงินปันผลแล้ว บริษัทยังสามารถใช้ประโยชน์จากหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนบางส่วนด้วยการออกผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ชนิดใหม่ๆ รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าวก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางการตลาดเพิ่มขึ้นด้วย

ผลกำไรของบริษัทยังได้รับแรงกระทบจากการแข่งขันที่ยังคงสูงในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์และจากความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ โดยผลกำไรสุทธิของบริษัทลดลงประมาณเกือบครึ่งจาก 335 ล้านบาทในงวดปี 2550 เหลือ 189 ล้านบาทในปี 2551 เนื่องจากรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงและการขาดทุนจำนวนมากจากธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 60 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2552 โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญและผลขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์จำนวน 24 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รายวันโดยเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 8,660 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 เป็น 19,946 ล้านบาทในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2552 จึงคาดว่ารายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 บริษัทยังบันทึกรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอีกจำนวน 82 ล้านบาทในปี 2551 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 56 ล้านบาทในปี 2550 และ 11 ล้านบาทในปี 2549 นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้อยู่ในระดับต่ำโดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมประมาณ 58% ในปี 2550-2551 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 64% ของบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ทั้ง 38 แห่งในปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 113% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมในไตรมาสแรกของปี 2552 จากผลของภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนนี้ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 128% ในช่วงเดียวกัน

ในแง่ของอัตราการก่อหนี้ บริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งที่ระดับ 1.83 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 2.21 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่เพียงพอต่อการขยายธุรกิจในอนาคตได้หากต้องการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ