ทริส คงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ LH ที่ A ด้วยแนวโน้ม Negative

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 3, 2009 10:22 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี ตลอดจนผลงานที่ยาวนาน และความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะชะลอตัวและวงจรธุรกิจที่มีความผันผวนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความยืดหยุ่นทางการเงินและระดับของการประสานประโยชน์ทางธุรกิจในการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัทร่วมซึ่งทำให้บริษัทเป็นผู้ประกอบการชั้นนำและครบวงจรมากที่สุดในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงยอดขายและกระแสเงินสดของบริษัทที่อ่อนตัวลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดของบริษัทยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นจากปัจจุบัน ทั้งนี้ นโยบายการจ่ายเงินปันผลที่สูงซึ่งจะทำให้บริษัทมีความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ลดลงนั้นยังเป็นผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตด้วย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับเป็น “Stable" หรือ “คงที่" หากบริษัทสามารถดำรงความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอาไว้ได้ อีกทั้งยังคงมียอดขายที่น่าพอใจ และมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กระแสเงินสดของบริษัท

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ก่อตั้งเมื่อปี 2526 โดยตระกูลอัศวโภคิน และเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยของไทยมานาน ปัจจุบัน ณ เดือนเมษายน 2552 ตระกูลอัศวโภคินมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 32% รองลงมาคือ Government of Singapore Investment Corporation (GIC) ในสัดส่วน 16.5% รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทในสัดส่วน 98% ของรายได้จากการดำเนินงานในปี 2551 และที่เหลือเป็นรายได้จากค่าเช่าและบริการ สินค้าหลักของบริษัทคือบ้านเดี่ยวซึ่งคิดเป็นประมาณ 84% ของรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมด ในขณะที่ทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมรวมกันคิดเป็นประมาณ 13% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากประสบการณ์ที่ยาวนานในการพัฒนาและส่งมอบโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้า การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่งไม่เพียงช่วยให้บริษัทมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายจากการลงทุนและเงินปันผลรับ แต่ยังช่วยให้บริษัทกลายเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจรมากที่สุดด้วย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552 บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด 50 โครงการ ด้วยมูลค่าคงเหลือประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งกว่า 90% ของมูลค่าคงเหลือมาจากโครงการบ้านเดี่ยว

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในปี 2551 ยอดขายของบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ต่ำกว่าประมาณการที่คาดไว้ โดยยอดขายลดลงเหลือ 15,770 ล้านบาทจาก 18,701 ล้านบาทในปี 2550 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 ยอดขายยังคงลดลง 19% เป็น 3,050 ล้านบาทเนื่องจากการชะลอตัวของความต้องการที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 23.3% ในปี 2551 จาก 18.5% ในปี 2550 และเพิ่มขึ้นเป็น 20.8% ในไตรมาสแรกของปี 2552 จาก 17.5% ในช่วงเดียวกันของปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการด้านภาษีของภาครัฐ แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะดีขึ้นจากผลของมาตรการดังกล่าว แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 20.4% ในปี 2551 และ 3.2% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2552 จาก 23.3% ในปี 2550 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ลดลงเป็น 7.04 เท่าในปี 2551 และ 4.78 เท่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2552 จาก 7.33 เท่าในปี 2550 แม้ว่าฐานทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น 2,720 ล้านบาทจากการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิในปี 2551 แต่หนี้สินของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 16,140 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552 จาก 13,871 ล้านบาทในปี 2550 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ที่ประมาณ 35%-37% ตั้งแต่ปี 2550 ถึงไตรมาสแรกของปี 2552

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทยังคงมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงที่ 100% ของกำไรสุทธิ แม้ว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง แต่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรยังคงต่ำกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนในช่วงปี 2547-2548 สูงถึงระดับประมาณ 17%-20% และลดลงเหลือประมาณ 10%-11% ตั้งแต่ปี 2549

แม้ว่าอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทจะอ่อนตัวลง แต่ความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนในบริษัทร่วมยังช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวลงได้ บริษัทมีการลงทุนในบริษัทสำคัญ 6 แห่ง โดย 5 แห่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและประเทศฟิลิปปินส์ และอีก 4 แห่งดำเนินธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552 เงินลงทุนในบริษัทร่วมมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของสินทรัพย์รวมทั้งหมดของบริษัท บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมประมาณปีละ 1,000 ล้านบาทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่เงินปันผลรับที่บริษัทได้รับนั้นผันแปรเป็นรายปีไปตามเงินลงทุนซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้จากการลงทุน

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนอันเป็นผลมาจากความไม่มั่นคงของการเมืองและวิกฤติการณ์ทางการเงินทั่วโลก แม้ว่ามาตรการด้านภาษีซึ่งอนุญาตให้ผู้ซื้อบ้านสามารถนำเงินซื้อบ้านในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ก็คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและจะหดตัวในปี 2552 ดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องบริหารสภาพคล่องอย่างระมัดระวังและดำรงความยืดหยุ่นทางการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันทางการเงินต่างๆ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเพื่อที่จะดำรงสถานะอันดับเครดิตเอาไว้



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ