โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปตท.(PTT)จากปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่และผลประกอบการปีนี้(2552)กำไรสุทธิน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว(2551)ที่มีการขาดทุนจากสต็อคน้ำมันจำนวนมาก ประกอบกับรายได้จากบริษัทในเครือก็กลับมาดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะจาก บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)ที่มีผลผลิตจากแหล่งใหม่มากขึ้นและการเข้าซื้อธุรกิจในออสเตรเลีย อีกทั้ง PTT ก็จะมีรายได้จากธุรกิจถ่านหินที่เข้าไปลงทุนในบริษัทที่ตั้งอยู่ที่สิงคโปร์เข้ามาในช่วงครึ่งหลังปีนี้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ยังมองว่าราคาน้ำมันดิบอาจจะมีการฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4/52 หรือปีหน้า(2553)อย่างชัดเจน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของ PTT
ขณะที่โบรกเกอร์ หลายรายคาดการณ์กำไรสุทธิ PTT ในปีนีในช่วง 54,595-67,500 ล้านบาท เติบโต 5.6-31% จากปีที่แล้ว(2551)ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 51,705 ล้านบาท
สำหรับการเข้าเทรดของ DW หุ้น PTT13CA ในวันพรุ่งนี้(9 ก.ค.)มองว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแม่ PTT แต่อย่างใด แต่ในแง่ของ Sentiment คงจะต้องจับตาดูกันอีกที และมองว่า PTT13CA เป็นหุ้นลูกที่โดยปกติจะต้องเคลื่อนไหวตามหุ้นแม่
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) Macquarie ซื้อ 275 Deutsche Bank ซื้อ 274 บล.ทิสโก้ ซื้อ 274 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ซื้อลงทุน 288 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ซื้อ 293 บล.ธนชาต ซื้อ 294
นายชัยพัชร ธนวัฒโน นักวิเคราะห์อาวุโส สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ ให้เหตุผลของการแนะ"ซื้อ"หุ้น PTT ว่า ผลประกอบการในปีนี้(2552)คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้วที่มีการขาดทุนสต็อคน้ำมันจำนวนมาก ซึ่งมาจากบริษัทในเครือ แต่ในปีนี้คาดว่า PTT อาจจะมีกำไรจากสต็อคน้ำมันด้วยซ้ำ แต่ถ้าเพียงแค่ไม่ขาดทุนจากสต็อคน้ำมันก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแล้ว
นอกจากนี้ มองว่า PTT ในปีนี้จะมีรายได้จากบริษัทในเครือกลับมาดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะจาก PTTEP ที่ได้เริ่มผลิตจากแหล่งใหม่ ๆ มากขึ้น และการซื้อธุรกิจที่ออสเตรเลียคาดว่าจะได้ผลตอบแทนกลับเข้ามาในช่วงครึ่งหลังปีนี้ อีกทั้ง PTT เองก็มีธุรกิจถ่านหินที่ได้เข้าไปซื้อบริษัทฯที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ คาดว่าจะรับรายได้จากธุรกิจถ่านหินเข้ามาในช่วงครึ่งหลังปีนี้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันจะปรับตัวลง และคาดว่าค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบในปีนี้(2552)จะอยู่ที่ 64 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งลดลงกว่าปีที่แล้ว(2551)ที่มีค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 98 เหรียญฯ/บาร์เรล แต่การลดลงของราคาน้ำมันดิบนี้ก็ไม่ได้ส่งผลต่อผลประกอบการของ PTT เท่าไรนัก พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิของ PTT ในปีนี้ไว้ที่ 67,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 51,705 ล้านบาท(งบรวม)
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) มองว่า ราคาน้ำมันดิบอาจฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 4/52 หรือปีหน้า(2553)อย่างชัดเจน จากปัจจุบันที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลงมองว่าเป็นช่วงของการปรับฐานเท่านั้น โดยคาดว่าค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบในปีนี้(2552)จะอยู่ที่ 60 เหรียญฯ/บาร์เรล ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบของปีที่แล้ว(2551)ที่มีอยู่ 98 เหรียญฯ/บาร์เรล แต่ถ้าหากราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อ PTT
ทั้งนี้ ได้คาดการณ์ว่าปีนี้ PTT จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 54,595 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 51,705 ล้านบาท โดยมองว่าปีนี้ PTT น่าจะไม่มีการตัดขาดทุนจากสต็อคน้ำมันจำนวนมากเหมือนเมื่อปีที่แล้ว(2551)หากเป็นเช่นนั้นก็ทำให้เห็นว่า PTT น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว นอกจากนี้ ธุรกิจของบริษัทลูกก็น่าจะมีการทยอยฟื้นตัวขึ้นด้วย
สำหรับการเข้ามาเทรดของหุ้น PTT13CA ในวันพรุ่งนี้(9 ก.ค.)มองว่าไม่น่าจะมีผลต่อหุ้นแม่ PTT เพราะโดยปกติแล้วหุ้นลูกจะต้องเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับหุ้นแม่
นายวิจิตร กุลเดชคุณา นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้น PTT ถือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดียังดีอยู่ และคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะมีการฟื้นตัวขึ้นในปีหน้า(2553)ซึ่งก็จะยิ่งทำให้ผลประกอบการของ PTT อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นด้วย โดยปีนี้(2552)คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะมีค่าเฉลี่ยที่ 57 เหรียญฯ/บาร์เรล ลดลงจากปีที่แล้ว(2551)ที่มีค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 98 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งเมื่อไรที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวขึ้นก็จะส่งผลดีต่อ PTT
อย่างไรก็ดี ปีนี้ได้คาดการณ์กำไรสุทธิของ PTT ไว้ที่ 63,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีที่แล้วที่มีอยู่ 52,000 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่ฟื้นตัวขึ้นในปีนี้จะมีการเติบโตต่อเนื่องไปถึงปี 2553 โดยหลัก ๆ มองว่าปีนี้ PTT คงจะไม่มีเรื่องการขาดทุนจากสต็อคน้ำมันเหมือนเมื่อปีก่อนอีกแล้ว
สำหรับการเข้าเทรดของหุ้น PTT13CA ในวันพรุ่งนี้(9 ก.ค.)มองว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแม่ PTT แต่อย่างใด แต่ในแง่ของ Sentiment คงจะต้องจับตาดูกันอีกที
อนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)รับใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับหุ้นของบมจ.ปตท.(PTT)ออกโดย บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยจะเริ่มซื้อขายในหมวดใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์(Derivative Warrants)ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2552 เป็นต้นไป ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "PTT13CA"
PTT13CA เป็นตราสารที่แสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (Call Warrant) ของ PTT มีอายุ 6 เดือน โดยจะครบกำหนดในเดือนธันวาคม 2552 ทั้งนี้ ผู้ถือ PTT13CA จำนวน 5 หน่วยจะสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้น PTT ได้ 1 หุ้น โดยหากผู้ลงทุนมีการใช้สิทธิ บล.เคจีไอ จะชำระเงินสดส่วนต่าง(Cash Settlement)ระหว่างราคาหุ้น PTT และราคาใช้สิทธิให้แทน โดยไม่มีการส่งมอบหุ้น