นายกรธวัช กิ่งเงิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย-ไลซาท จำกัด ธุรกิจสังกะสีอ๊อกไซด์ในเครือ บมจ. ยูนิเวนเจอร์(UV)เปิดเผยว่า ปีนี้ไทย-ไลซาทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจสังกะสีอ๊อกไซด์ประมาณ 600-700 ล้านบาท ลดลงจากราว 900 ล้านบาทในปี 51 เนื่องจากสถานการณ์ราคาสังกะสีปรับตัวลดลงมามาก โดยขณะนี้สังกะสีในตลาดโลกราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ลดลงจาก 1,900 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันในปี 51
"รายได้ของเราขึ้นอยู่กับราคาสินค้าและราคาวัตถุดิบในตลาดโลก โดยราคาสังกะสีในตลาดโลกขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ด้วย ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนมองว่า 35 บาท/ดอลลาร์เป็นอัตราที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจนี้"นายกรธวัช กล่าว
อนึ่ง ปัจจุบันรายได้ของบริษัทคิดเป็น 70% ของรายได้รวม UV
นายกรธวัช กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาราคาสังกะสีในตลาดโลกลดลงมามากตามความต้องการใช้ ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีต่ออุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ใช้สังกะสีในการผลิตนั้น ซบเซาลงมาก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตอนนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จากที่คาดว่ายอดขายปีนี้อาจจะตกลง 25% หลังยอดขายไตรมาสแรกออกมาไม่ดีนักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่พอเริ่มเข้าสู่ไตรมาส 2/52 ยอดออเดอร์เริ่มฟื้นตัว และคาดว่าไตรมาส 3/52 จะมีออเดอร์เข้ามาเต็มที่
ทั้งนี้ บริษัทประมาณการขายสังกะสีอ๊อกไซด์ ปี 52 ไว้ที่ 13,000 ตัน/ปี จาก 12,644 ตัน/ปี ในปี 51 ขณะที่กำลังผลิตปี 52 คาดว่าจะอยู่ที่ 14,400 ตัน/ปี จาก 13,160 ตัน/ปี ในปี 51 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 90%
แต่จากสถานการณ์ราคา Commodity ที่มีความผันผวนอย่างมาก ทำให้บริษัทไม่กล้าคาดหวังสถานการณ์ของบริษัทในปี 53 มากนัก เบื้องต้นคาดว่าปริมาณการขายและกำลังการผลิตอาจจะทรงตัวจากปีนี้
นายกรธวัช กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมด้านกำลังผลิต หากสถานการณ์ราคาและความต้องการใช้ปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากในปี 51 ได้มีการลงทุนไปประมาณ 15 ล้านบาท เพื่อเตรียมเพิ่มกำลังผลิตที่โรงงานปทุมธานีอีก 30% เป็นประมาณ 15,000 ตัน/ปี แต่เนื่องจากสถานการณ์ Crisis ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องปรับแผนเหลือเพิ่มกำลังผลิตขึ้นมาเพียง 10% เท่านั้น
"ตอนแรกเรากะว่าปีนี้จะเพิ่มกำลังผลิตอีก 30% แต่มาเจอ Crisis และปัจจัยภายนอกรุมเร้าเลยคาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นแค่ 10% หรือ 14,400 ตัน/ปี แต่ถ้าปีหน้าสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นทั้งด้านราคาและความต้องการใช้ก็อาจจะกลับมาทบทวนแผนเพิ่มกำลังผลิตให้เต็มทั้ง 30%"นายกรธวัช กล่าว
*ปลายปีนี้ เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์สินค้าใหม่ "สังกะสีอ๊อกไซด์ชนิดเม็ด"
นายกรธวัช กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ธุรกิจสังกะสีอ๊อกไซด์ในตลาดโลกมีการแข่งขันสูงมากทั้งด้านคุณภาพและราคา ทำให้บริษัทต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ล่าสุดจึงทดลองผลิตสินค้าใหม่ คือ สังกะสีอ๊อกไซด์ชนิดเม็ด (Zinc Oxide Granular) มาตั้งแต่ต้นปี 52 และคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปลายปี 52 กำลังผลิตขั้นต้น 50 ตัน/เดือน เพื่อส่งออกไปเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยคาดว่าสินค้าใหม่จะมีอัตรากำไรขั้นต้น (Groo Profit Margins) ที่ 15% ซึ่งสูงกว่าสินค้าเดิมคือสังกะสีอ๊อกไซด์ชนิดผงซึ่งมีมาร์จิ้นที่ 10%
"ทุกวันนี้คู่แข่งสำคัญของเราในธุรกิจสังกะสีอ๊อกไซด์คือจีน ซึ่งแม้จีนจะมีข้อเสียเปรียบเราในเรื่องคุณภาพ แต่เราก็จำเป็นต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาแข่งขัน ที่สำคัญคือสินค้าใหม่มาร์จิ้นสูงกว่าสินค้าเดิม อย่างไรก็ตามคงต้องใช้เวลาสร้างตลาดนี้ระยะหนึ่ง แต่เชื่อต่อไปจะสร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรมให้บริษัทแน่นอน"นายกรธวัช กล่าว
นายกรธวัช กล่าวว่า คู่แข่งสำคัญของสินค้าใหม่ คือ เกาหลี และจีน แต่เชื่อว่าด้วยจุดแข็งด้านการอยู่ในธุรกิจนี้มานานถึง 29% และคุณภาพสินค้าและการบริการเป็นที่ยอมรับของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องกฎระเบียบในการนำเข้าสินค้าของ EU ทีความเข้มงวดในเรื่องสิ่งเจือปนในวัตถุดิบอย่างมาก ซึ่งทางบริษัทเน้นเรื่องการควบคุมคุณภาพอย่างมาก ทำให้เชื่อว่าจะใช้สร้างตลาดประมาณ 1 ปี สินค้าใหม่ก็จะเป็นที่ยอมรับของลูกค้า
*ทำธุรกิจกับ PDI มาตั้งแต่ต้น แต่ไม่คิดขยายความสัมพันธ์
นายกรธวัช กล่าวว่า ปัจจุบันแหล่งที่มาของวัตถุดิบของบริษัทมาจากในประเทศ 90% อีก 10% นำเข้าจากญี่ปุ่นและออสเตรเลีย สำหรับในประเทศนั้น บริษัทมี บมจ. ผาแดงอินดัสทรี (PDI) ทำหน้าที่เป็นซัพพลายเออร์ให้ ปริมาณสต็อกสินค้าไม่เกิน 1 เดือน และมีการทำประกันความเสี่ยงด้านราคา ทำให้สามารถจัดซื้อวัตถุดิบได้ในราคาถูกกว่าการนำเข้า รวมทั้งยังมีรวดเร็วเรื่องการส่งมอบสินค้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนจะขยายความสัมพันธ์กับ PDI มากไปกว่าการเป็นพันธมิตรทางการค้าร่วมกัน
สำหรับบริษัท ไทย-ไลซาท จำกัด เป็นบริษัทในเครือของ UV โดย UV ถือหุ้นอยู่ 100% ของทุนจดทะเบียน 140 ล้านบาท รายได้ของไทย-ไลซาท มาจากในประเทศ 85% ส่งออก 15% โดยตลาดส่งออกสำคัญอยู่ในแถบเอเซีย เช่น สิงคโปร์, เวียดนาม, นิวซีแลนด์, ญี่ปุ่น, ศรีลังกา, และเร็วๆนี้กำลังจะขยายไปตลาดใหม่คือ พม่า
ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในในตลาดโลกประมาณ 60% แต่ตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 80% ในอนาคตทั้งจากสินค้าใหม่และการขยายตลาดส่งออก
ส่วนลูกค้าในประเทศ 70% คือบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์เกือบทุกยี่ห้อ, 10% เป็นอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ลูกค้าสำคัญคือ CP, 10% อุตสาหกรรมเซรามิค ที่เหลือคือ สีทาบ้าน, พลาสติก, เครื่องสำอางค์และยา, ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงรักษาเส้นผมรวมกัน