นายฉัฐภูมิ ขันติวิริยะ เลขานุการบริษัท บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่ได้ส่งผลกระทบให้จำนวนคนดูหนังลดลงมากนัก เนื่องจากโปรแกรมภาพยนตร์ที่เข้าฉายในช่วงนี้มีความน่าสนใจและเป็นเรื่องที่คนเฝ้ารอดู มากกว่าที่จะกังวลติดเชื้อหวัด อีกทั้งเชื่อว่าผู้ที่มาใช้บริการโรงภาพยนตร์น่าจะมีการป้องกันตัวเองมาเป็นอย่างดี ประกอบกับ ทางเมเจอร์ฯได้ออกมาตรการป้องกันไว้เป็นอย่างดี
เมื่อถามว่าหากทางการจะขอความร่วมร่วมมือให้หยุดกิจกรรมทุกอย่างภายในประเทศเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เช่น โรงเรียน โรงหนัง นายฉัฐภูมิ กล่าวว่า หากเป็นอย่างนั้น โปรแกรมหนังที่เตรียมรอคิวฉายก็คงต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิม ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบมากคือเจ้าของหนัง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการโปรโมท ทั้งก่อนหน้านี้ และหลังจากนี้กรณีที่ต้องทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนดูรับทราบว่าหนังถูกเลื่อนกำหนดฉายออกไป
ขณะที่ MAJOR อาจจะได้รับผลกระทบบ้างในช่วงที่ปิดโรงหนัง 2 สัปดาห์ แต่เราเชื่อว่าทันทีที่สามารถเปิดให้บริการตามปกติ และโปรแกรมหนังเข้าฉายตามคิว เช่น ทันทีที่ Harry Potter เข้าฉาย คนดูก็จะเริ่มเข้ามาเพิ่มขึ้นทันที
"ผมเชื่อว่ารายได้อาจจะหายไป 2 สัปดาห์ถ้ารัฐบาลให้หยุดกิจกรรมจริง แต่โปรแกรมหนังที่เข้าฉายก็จะช่วยดึงคนดูกลับมา"นายฉัฐภูมิ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
*เข้มงวดทำความสะอาด ให้บริการเจลล้างมือตามจุด สร้างความเชื่อมั่น
ด้านนายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAJOR กล่าวว่า เมเจอร์ฯได้เตรียมพร้อมมาตรการป้องกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เพิ่มความเข้มงวดในการทำความสะอาดทั้งในส่วนของโรงภาพยนตร์ โบว์ลิ่ง และคาราโอเกะ ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ทั้ง 4 แบรนด์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี, พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และเอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ ทุกสาขา ด้วยการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อภายในห้องเครื่องทำความเย็น AHU,ฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อภายในโรงภาพยนตร์ทุกรอบ ทุกโรงก่อนฉายภาพยนตร์ เพื่อฆ่าเชื้อโรคและระบายอากาศให้ถ่ายเท, ใช้เครื่องฟอกอากาศและอบโอโซนฆ่าเชื้อภายในโรงภาพยนตร์
นอกจากนี้ ยังได้มีการติดตั้งให้บริการคลีนซิ่งแฮนด์เจล เจลทำความสะอาดมือแบบไม่ต้องล้างน้ำ (แอลกอฮอลล์) ไว้บริการให้แก่ลูกค้าตามจุดต่าง ๆ ทั้งในส่วนของโรงภาพยนตร์ โบว์ลิ่ง และคาราโอเกะ ได้แก่ บริเวณเคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์, จุดฉีกบัตรทางขึ้นโรงภาพยนตร์, เคาน์เตอร์จำหน่ายเครื่องดื่มและป็อปคอร์น, เคาน์เตอร์สแกนบัตรจอดรถ, บริเวณพื้นที่ภายในโบว์ลิ่ง และคาราโอเกะ ทำความสะอาดลิฟท์, ราวบันไดเลื่อน, ลูกบิดประตู, ห้องน้ำ ตลอดจนบริเวณที่เป็นพื้นที่ส่วน รวมต่าง ๆ
*H2/52 ดีกว่า H1/52 จากหนังฟอร์มยักษ์ช่วย
นายฉัฐภูมิ กล่าวยอมรับว่า ปีนี้การทำงานค่อนข้างเหนื่อยกว่าทุกปี หวัด 2009 ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องใหม่ทำให้ต้องทำการบ้าน อีกส่วนหนึ่งมาจากปัญหาสภาพเศรษฐกิจที่ปีนี้หลายๆบริษัทตัดงบโฆษณาที่ไม่จำเป็น เช่น งบซื้อสื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์ ทำให้รายได้ของเราตรงนี้หายไปพอสมควร แต่เชื่อว่าไตรมาส 3/52 จะดีขึ้นเพราะมีโปรแกรมหนังฟอร์มยักษ์รออยู่ และมีการจัดทีมงานทำงานกันใหม่ด้วย น่าจะกอบกู้สถานการณ์กลับมาได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากรายได้จากการขายตั๋วภาพยนตร์ยังเป็นไปตามปกติ และน่าจะสูสีกับปี 51 ที่ทั้งปีมีลูกค้ามาใช้บริการกว่า 20 ล้านคน อีกทั้งโปรแกรมหนังปีนี้น่าสนใจกว่าปีที่แล้วมากทั้งที่ฉายไปแล้วและกำลังจะฉายในครึ่งปีหลังนี้, ธุรกิจโบว์ลิ่งทรงตัว, ธุรกิจค้าปลีกน่าจะโตขึ้น
ดังนั้น ทำให้เชื่อว่าถ้ามองแบบ Conservative รายได้รวมปีนี้อาจจะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนซึ่งมีรายการพิเศษคือมีกำไรจากการขายหุ้นเอ็ม พิคเจอร์ ให้แก่ บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(MPIC) ส่วนปี 53 ก็น่าจะยังสูสีกับปี 52 เพราะโปรแกรมหนังน่าสนใจพอๆกับปีนี้ และหากตำนานสมเด็จพระนเรศวร 2 ภาค คือ ภาค 3 และ ภาค 4 ต้องเลื่อนไปเป็นปีหน้า รายได้ปี 53 ก็น่าจะสูสีกับปีนี้
สำหรับแผนการขยายสาขาใหม่ 2 แห่ง ด้วยงบลงทุน 700 ล้านบาทยังเป็นไปตามแผน คือที่รัตนาธิเบศร์ ขนาด 16 จอ งบลงทุน 600 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดปลายปีนี้ และที่เหลือจะใช้ในการเปิดสาขาที่อมตะนคร ขนาด 4 จอ ซึ่งอยู่ระหว่างออกแบบ และปรับปรุงสาขาเดิม ซึ่งปัจจุบัน MAJOR มีโรงภาพยนตร์อยู่ในประมาณ 350 จอ
ส่วนธุรกิจที่อินเดีย อยู่ระหว่างการหาสถานที่เพื่อเปิดโรงโบว์ลิ่งแห่งใหม่ที่เมืองมุมไบ คาดว่าปีนี้น่าจะชัดเจน ส่วนที่นิวเดลี โรงโบว์ลิ่งขนาด 24 เลน ซึ่งเปิดบริการเมื่อเดือนมี.ค.52 ปรากฎว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดีมาก รายได้ดีกว่าที่ประเทศไทย โดยเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาทำรายได้ 12 ล้านรูปีหรือประมาณ 8 ล้านบาท ขณะที่สาขารัชโยธิน เคยทำรายได้สูงสุด 9 ล้านบาท/เดือน แต่ว่าจำนวนเลนมากกว่าคือ 38 เลน หรือ สาขาสุขุมวิท ขนาด 20 เลน เคยเก็บค่าบริการสูงสุด 4 ล้านบาท/เดือน