นายชนินทร์ โทณวณิก กรรมการผู้จัดการ บมจ.ดุสิตธานี(DTC)ยอมรับว่ารายได้ในปีนี้คงจะปรับตัวลดลงจากปีก่อน 30-40% และเชื่อว่ากำไรก็คงจะปรับตัวลดลงเช่นกัน เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองและปัญหาการปิดสนามบินที่ลากยาวมาและมาเจอผลจากไข้หวัด 2009 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวปรับลดลง อัตราการเข้าพักว่างถึง 50% จากห้องพัก 2-3 พันห้อง
แต่อย่างไรก็ตาม หวังว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะค่อยๆ เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยคาดว่า 3-4 เดือนจากนี้ภาพรวมธุรกิจโรงแรมจะดีขึ้น แต่น่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนราวเดือน ต.ค.53 ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า
นายชนินทร์ กล่าวว่า ภายใต้ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทปรับตัวโดยการหันไปรับบริหารโรงแรมในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ เพื่อให้มีรายได้เข้ามาชดเชยรายได้ในประเทศที่ลดลง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจารับบริหารโรงแรมในตะวันออกกลางเพิ่มอีก 3 แห่ง จากปัจจุบันที่รับบริหารอยู่แล้ว 3 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมที่อินเดียอีก 1 แห่งและจีน ทำให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากการบริหารโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากปีนี้ที่ 10%
นายชนินทร์ กล่าวว่า บริษัทยังแสวงหาโอกาสการขยายธุรกิจด้วยการเข้าไปซื้อธุรกิจโรงแรมในประเทศ โดยหวังว่าภายในปลายปีนี้จะสรุปการเจรจาเข้าเทคโอเวอร์กิจการโรงแรม 1 แห่งจากที่เจรจาอยู่ 2-3 แห่ง แต่ตอนนี้การเจรจาในเรื่องของราคายังไม่เป็นที่น่าพอใจ
"เราไม่มีปัญหาในเรื่องเม็ดเงินที่จะมาลงทุน แต่ที่ผ่านมาเราหยุดการลงทุนเพราะเราไม่แน่ใจในสถานการณ์ และการท่องเที่ยวก็ลดลงจนน่าเป็นห่วง การที่จะลงทุนเราคงจะต้องคิดให้ดี แต่เราก็มีหุ้นกู้ที่ได้ขอมติไว้นานแล้ว 5 พันล้านบาท และ D/E ที่ต่ำ 0.3 เท่า ซึ่งถ้าหากใช้จริงไ เราก็เลือกได้ว่าจะใช้แบบไหน"นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับราคาหุ้นโรงแรมในตอนนี้เหลือเพียงครึ่งเดียวของราคาสินทรัพย์ จึงทำให้ไม่เป็นที่สนใจต่อการลงทุน โดยผู้ประกอบการโรงแรมจะอยู่ได้ก็ต้องมีธุรกิจอย่างอื่นมาเสริมด้วย พร้อมทั้งอยากให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะตั้งแต่เหตุการปิดสนามบินเมื่อปลายปีก่อน นักท่องเที่ยวระดับไฮคลาสหายไปถึง 40% ซึ่งก็ทำให้รายได้ของรัฐที่มาจากท่องที่ยวลดลงมากเช่นกัน