นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท (PTT) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังคาดว่ากำไรสุทธิจะใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่ 2.7 หมื่นล้านบาท แต่รายได้น่าจะปรับสูงขึ้นกว่าจากครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 6.9 แสนล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีหลังบริษัทประเมินว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับ 60-70 เหรียญ/บาร์เรล สูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 52 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ ปตท.คาดการณ์ไว้ที่ 55 เหรียญ/บาร์เรล แต่ทิศทางตั้งไต่ไตรมาส 1/52 จนถึงปัจจุบันราคาน้ำมันยังคงปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าครึ่งปีหลังราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูง ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาดีอีกครั้ง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมของธุรกิจของ ปตท.ด้วย
ส่วนค่าการกลั่นในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะอยู่ที่ 2-4 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3.2 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ แม้จะต่ำกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก แต่ขณะนี้โรงกลั่นในเครือทุกแห่งยังคงเดินเครื่อง 100% อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงในครึ่งปีหลัง คือ ธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งแม้ว่าเดือน ก.ค.-ส.ค.52 มาร์จิ้นปิโตรเคมียังดีอยู่ แต่ก็มีความกังวลว่ามาร์จิ้นอาจจะอ่อนตัวในช่วงไตรมาส 4/52 เพราะจะมีกำลังผลิตใหม่จากตะวันออกกลางเข้ามา
"ไตรมาส 3 ก็ยังถือว่าธุรกิจปิโตรเคมียังมีมาร์จินที่ดี ภาพรวมธุรกิจก็ยังดีต่อเนื่องจากไตรมาส 2 แต่ไตรมาส 4 มีความกังวลเรื่องธุรกิจปิโตรเคมีที่จะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา แต่ผลประกอบการโดยรวมมั่นใจว่ารายได้จะโตขึ้นจากครึ่งปีแรก และกำไรจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแกรที่ 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งบางโบรกฯได้คาดการว่าบริษัทจะมีกำไรถึง 5.4 หมื่นล้านบาทในปีนี้"นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ ยังกล่าวถึงการที่ปตท.ไม่สามารถปรับเพิ่มราคาขายก๊าซ NGV ตามต้นทุนที่เหมาะสมได้ จึงต้องการให้รัฐเข้ามาช่วยบรรเทาปัญหาของปตท. ซึ่งปัจจุบันต้องแบกรับภาระส่วนต่างอยู่ เพราะราคาก๊าซ NGV ถูกตรึงไว้ที่ 8.50 บาท/กก. ขณะที่ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 12 บาท/กก.
"อยากให้รัฐบาลช่วยบรรเทาความเสียหายของปตท. ที่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผู้ถือหุ้นปตท.ด้วย และอาจจะต้องมีการกำหนดแนวทางที่ชัดเจน เช่นเดียวกับการที่ปตท. แบกรับภาระ LPG" นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวถึงกรณีที่ระบบส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA และแหล่งบงกชในอ่าวไทย รวมถึงแหล่งยาดานาในประเทศพม่า เกิดปัญหาขัดข้องไม่สามารถส่งก๊าซให้กับโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้เพียงพอต่อการผลิตกระแสไฟฟ้านั้น จะไม่มีผลกระทบกับผลประกอบการของกลุ่ม ปตท.แน่นอน เพราะทางบริษัทสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่วันเสาร์แล้ว ทำให้สามารถเดินเครื่องได้ทันทีและมีความเสียหายเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย
ส่วนแผนการควบรวมบริษัทในเครือ 4 แห่ง บมจ.ไทยออยล์(TOP) บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งกระบวนการคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 4/52 แต่ขณะนี้การควบรวมมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงค่อนข้างมาก ดังนั้น อาจจะเป็นการดำเนินการทีละขั้นตอนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายมากที่สุด