โบรกฯเชียร์"ซื้อ"TOPมองQ3/52ปิโตรฯยังหนุน-คาดไม่มีความจำเป็นต้องควบรวม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 27, 2009 15:58 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ" หรือเข้าซื้อเมื่ออ่อนตัวในหุ้นบมจ.ไทยออยล์ (TOP) เพราะมองว่าไตรมาส 3/52 ผลประกอบการยังแข็งแกร่งจากธุรกิจปิโตรเคมี และปีนี้กำไรดีจากกำไรสต็อก ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้มองว่าโอกาสที่ TOP จะควบรวมกับรายอื่นเป็นไปได้ยาก เพราะเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่อาจติดปัญหาการผูกขาดธุรกิจ และธุรกิจก็เดินหน้าได้เองไม่จต้องพึ่งพาบริษัทอื่น ขณะที่บริษัทมีแผนซื้อโรงกลั่นในแถบเอเชียเพิ่ม และมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่ม เน้นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน

          โบรกเกอร์        คำแนะนำ      ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)

          บล.เอเซียพลัส       ซื้อ            50.01
          บล.กสิกรไทย        ซื้อ            50.00
          บล.ธนชาต          ซื้อ            48.00
          บล.สินเอเซีย      ซื้อเมื่ออ่อนตัว      48.00
          บล.เกียรตินาคิน    ซื้อเก็งกำไร       45.00

บล.เกียรตินาคิน คาดว่าผลประกอบการ ในไตรมาส 3/52 จะแข็งแกร่งต่อเนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมี ชดเชยผลกระทบที่เกิดจากค่าการกลั่นที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้ง Stock Gain ที่คาดว่าจะลดลง จากทิศทางของราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/52 ที่ผ่านมา

ประเด็นของการควบรวมกิจการเราให้น้ำหนักการควบรวมกิจการระหว่าง IRPC + PTTAR ก่อนเป็นทางเลือกอันดับที่ 1 ขณะที่หากพิจารณาการควบรวมมากกว่า 2 บริษัท เราเลือก TOP มากกว่าจะเป็น PTTCH เนื่องจากเรามองว่า Synergy ที่เกิดขึ้นจะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับโครงการธุรกิจ รวมทั้งลดความซ้ำซ้อนในการขยายการลงทุนในอนาคตของทั้ง 3 บริษัท อย่างไรก็ตามการควบรวมกิจการยังมีความเสี่ยงต่อการถูกมองเป็น การผูกขาดทางธุรกิจ บวกกับการบริหารโครงสร้างภายในบริษัททำได้ยาก ทำให้เรามองว่าการควบรวมกิจการพร้อมกันทีเดียว 4 บริษัทเกิดได้ยาก

บทวิเคราะห์ของบล.สินเอเซีย คาดว่า ครึ่งหลังปี 52 กำไรสุทธิน่าจะอ่อนกว่าครึ่งแรกปี 52 ที่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสูง แต่สำหรับกำไรปกติคาดจะทรงตัวหรือดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เพราะแม้ค่าการกลั่นคาดยังอยู่ใน 2-3 เหรียญ/บาร์เรล แต่คาดว่าจะมีกำไรที่ดีขึ้นจากปิโตรเคมี ที่สามารถใช้กำลังการผลิตใด้มากขึ้นตามส่วนต่างกำไร โดยเฉพาะเบนซีนที่ราคาดีขึ้นมาก HoH ขณะที่พาราไซลีนคาดว่าราคาจะทรงตัว ตามความต้องการผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตปลายน้ำที่ยังมีต่อเนื่องและปัญหาอุปทานขาดแคลนจากการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตต้นทุนสูง

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังผลิตและมูลค่าผลิตภัณฑ์ในอนาคต ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตอีก 2.5 หมื่นบาร์เรลเพื่อให้ได้กำลังผลิตเพิ่มเป็น 3 แสนบาร์เรล/วัน โดยจะเป็นเพิ่มการผลิตน้ำมันดีเซลและอากาศยานเพิ่ม โดยใช้เงินลงทุน 100-200 เหรียญ

แผนเปลี่ยน LPG ที่ผลิตได้ 4% เป็นเบนซีนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มูลค่าเพิ่มและทำให้ส่วนต่างกำไรดีขึ้นจากการขายเป็น LPG ซึ่งมีส่วนต่างกำไรติดลบมาก เพราะราคา LPG ในประเทศถูกควบคุม คาดใช้เงินลงทุน 400 ล้านเหรียญ และ แผนลงทุนซื้อหุ้นโรงกลั่นต่างประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งมองหาโรงกลั่นที่ผลิตอยู่แล้วและสามารถลงทุนปรับปรุงการผลิตผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้โดยใช้เงินลงทุนไม่มาก ซึ่งเงินลงทุนทั้งหมดนี้ คาดว่า TOP จะใช้กระแสเงินสดภายในและการกู้ยืมซึ่ง TOP ยังสามารถกู้เงินได้อีก 800-900 ล้านเหรียญ

ส่วนนายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ธุรกิจของ TOP ไม่จำเป็นต้องควบรวมกับบริษัทอื่น โดยสามารถดำเนินธุรกิจได้เอง และเป็นโรงกลั่นที่มีขนาดใหญ่อยู่แล้ว รวมทั้งมีฐานะการเงินดี ขณะที่คาดว่า ธุรกิจของ IRPC กับ PTTAR จะมีการควบรวมกันมากกว่า

แต่เนื่องจาก TOP อยู่ในธุรกิจโรงกลั่น และ ปิโตรเคมี ซึ่งมีวงจรธุรกิจ โดยปลายปีนี้กังวลว่า จะมีซัพพลายใหม่เข้ามา ก็จะส่งให้กำไรในปีหน้าลดลง ขณะที่ปีนี้มีกำไรดี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นกำไรจากสต็อก และแนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในช่วง 2 ปีข้างหน้วค่าการกลั่นก็คงขึ้นได้ยาก

"ไทยออยล์ เป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ และมีผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 7% แต่ปีหน้าลดลงเหลือ 6% แต่ถ้าดู Valuation ยังมี upside อยู่ ... ผมมองว่าหุ้น TOP เป็น Neutral แต่ขึ้นอยู่กับว่าถ้าคนรู้จังหวะเล่น ก็น่าลงทุน แต่ถ้าลงทุนระยะยาวรอปันผลก็ได้" นายกวี กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ