นายวัลลภ พุกกะณะสุต ประธานกรรมการบริหาร บมจ.การบินไทย (THAI) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า แผนฟื้นฟูธุรกิจในระยะที่สองจะปรับปรุงฝูงบินตามแผน 5 ปี จะปลดระวางเครื่องบินเก่า 14 ลำ และหาทดแทนใหม่ 14 ลำ ตามภาวะธุรกิจการบินในอนาคตที่ยังฟื้นตัวไม่มากนัก ยังไม่ระบุว่าจะเช่าหรือซื้อ แต่ส่วนตัวมองว่าน่าจะเช่ามากกว่า
ทั้งนี้ ไม่นับรวม เครื่องบินแอร์บัส A380 ที่จะรับมอบ 3 ลำแรกในปลายปี 55 และ อีก 3 ลำ ในปี 56 ซึ่งสามารถจุผู้โดยสารได้มากกว่า 500 คน และเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 8 ลำ โดยรับมอบในปีนี้ 6 ลำ และอีก 2 ลำในปีหน้า
"เรา plan ว่าภายใน 5 ปีนี้ น่าจะเอาเครื่องบินเก่าออกประมาณ 14 ลำ และทดแทน 14 ลำเท่ากัน เพราะฉะนั้น การเติบโตจะน้อยมาก อาจไม่ถึง 2-3% ในช่วง 5 ปีนี้ และคิดว่า Traffic ก็ยังอ่อนไหวอยู่ เครื่องบินใหม่ที่จะเข้ามาแทนอาจจะลำเล็กหน่อย ฉะนั้น Capacity จะไม่เพิ่มขึ้นจากจำนวนเครื่องบิน แต่จำนวนที่นั่งจะเพิ่มจากเครื่องแอรบัส A380 เสียมากกว่า ดูแล้วก็แทบจะไม่ได้เพิ่ม แต่ก็เหมาะสมกับการตลาดที่เรามีอยู่ ปัจจุบัน" นายวัลลภ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทไม่ได้ใช้เครื่องบินเต็มที่ จากที่มีอยู่ 84 ลำ โดยใช้จริงขณะนี้ประมาณ 60-70 ลำ
ทั้งนี้ การปลดระวางเครื่องบินเก่าและซื้อทดแทนใหม่ เพื่อลดต้นทุนการใช้น้ำมัน และ เตรียมเครื่องบินใหม่ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกไซด์ ตามกฎหมายที่สหภาพยุโรป(อียู) ได้กำหนดจะมีผลบังคับใช้ ในปี 54
"การมีเครื่องบินใหม่ ช่วยให้บริษัทไม่จ่ายค่าน้ำมันเพิ่มมาก และบินเข้าไปอียูที่ควบคุมเรื่องคาร์บอนฯ ที่จะเริ่มปี 54 แต่เครื่องบินรุ่นใหม่ เราก็ต้องดูเงื่อนไขว่าเราจะเช่าหรือจะซื้อ ผมคิดว่าน่าจะเช่ามากกว่า ขณะนี้ แต่เราก็ต้อง Balance Asset กับ lease ให้ใกล้เคียงกับ ไม่ใช่ว่าเป็นของเราหมด เพราะถ้าซื้อมาก็จะมีเรื่องค่าเสื่อมด้วย เรา plan ว่าจะทำให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้" นายวัลลภ กล่าว
นายวัลลภ ยังกล่าวว่า สำหรับการหาสภาพคล่องในแผนฟื้นฟูระยะที่ 2 บริษัทจะกู้เพิ่ม อีกกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งกำลังดำเนินการ โดยกองทุนวายุภักษ์ก็สนใจจะให้บริษัทกู้ด้วย โดยทั้งหมดก็จะยังกู้ในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในสิ้นปีนี้ โดยส่วนหนึ่งรองรับเป็นสภาพคล่องของบริษัท และ ลงทุนโครงการบางโครงการที่ชะลอไว้ ได้แก่ โครงการระบบสารสนเทศหรือไอที , ฝ่ายช่างที่ต้องมีการปรับปรุงอุปกรณ์ และปรับปรุงอุปกรณ์ภายในเครื่องบิน
"เฟส 2 ดูแล้วต้องการเงินไม่น่าจะเกิน 2-3 หมื่นล้านบาท ถ้าเราได้ สิ้นปีเราก็สบายแล้ว " นายวัลลภ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้กู้เงินไปแล้วประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างสภาพคล่องได้ครบหมดจากธนาคารในประเทศ ได้แก่ ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.ออมาสิน และ ธ.กรุงเทพ มีอายุเงินกู้เฉลี่ย 5-7 ปี ซึ่งส่วนใหญ่นำไปชำระคืนตั๋วเงินระยะสั้นที่ครบกำหนดชำระ
*คาดQ3/52 พลิกมีกำไร แต่ 3 ปีข้างหน้ายังเติบโตน้อย
ประธานกรรมการบริหาร THAI กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณดี คาดว่าไตรมาส 3 คงไม่ขาดทุน และ ไตรมาส 4 ก็จะดีขึ้น หวังว่าเป้าทั้งปีมีกำไรแน่นอน แต่ก็ยังต้องดูปัจจัยอื่นที่อาจจจะส่งผลกระทบ ได้แก่ เรื่องการเมืองที่จะมีการชุมนุมกัน และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะกลับมาระบาดใหม่หรือไม่
โดยยอดจองเดือนส.ค. ดีขี้นโดยมีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) คงไม่ต่ำกว่า 75% ซึ่งดีกว่ามาก โดยเที่ยวบินประเทศในยุโรป และญี่ปุ่นเริ่มเต็ม
"รายได้ปีนี้น่าจะไม่เท่าปีก่อน แต่การลดค่าใช้จ่าย ทำให้เรามีมาร์จิ้นดีขึ้น ก็ทำให้กำไรสุทธิมากขึ้น ส่วนปีหน้า เราหวังว่าเหตุการณ์ปกติ และรัฐบาลอยู่ตัวแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหา" นายวัลลภกล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า รายได้เติบโตไม่เกิน 6% โดยแต่ละปีเติบโตช้ามาก เพราะยอมรับว่าธุรกิจการบินทั่วโลกจะถอยหลังไป 2 ปี หรือในปี 50 ส่วนในปี 51-52 เป็นปีที่ธุรกิจการบินแย่มาก
นายวัลลภ กล่าวว่า ขณะนี้ยังเป็นห่วงและหนักใจว่าค่าใช้จ่ายจะลดได้ตามเป้าหรือไม่ และเป็นห่วงสถานการณ์การเมือง เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวกับผู้โดยสารในเอเชีย
แม้ว่า บริษัทจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้แล้วประมาณ 8 พันล้านบาท แต่บริษัทก็ยังต้องดำเนินการต่อเนื่องถ้าถึงหมื่นล้านบาทแล้วก็อยากผลักดันให้ได้เพิ่มอีก 3-4 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเป็นการลดค่าใช้จ่าย จากการไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือน ไม่ได้จ่ายโบนัสให้กับพนักงาน ซึ่งตัดได้ง่าย แต่การลดค่าใช้จ่ายระบบการปฏิบัติงานจะทำอย่างไรให้ลดลงมาโดยไม่กระทบการบริการ "เราคิดว่า น่าจะ(ลดค่าใช้จ่าย)ได้มากกว่านั้น และไม่ใช่ทำได้แล้วก็หยุด คือทำแล้วกลายเป็นระยะยาวตัดทิ้งค่าใช้จ่ายบางอย่างไปได้เลย เราต้องมีการเปลี่ยนแผนการทำงาน หรืออาจมีการ Reorganize ต่างๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งลดค่าใช้จ่ายทุก 5 ปี แต่ทำให้เข้าระบบไปเลย เพื่อไม่ให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกต่อไป เรามีหลายจุดที่เราน่าจะปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้"นายวัลลภ กล่าว