ปัจจุบัน พอร์ตการลงทุนของบริษัทมีเม็ดเงิน 3,000 ล้านบาท คิดเป็น 1% ของมูลค่าตลาดรวม แบ่งเป็นหุ้น 40% มาร์จินโลน 30% และที่เหลืออื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร และ การลงทุนในตลาดเงิน
"อะไรที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรงแต่ถ้าสามารถต่อยอดธุรกิจด้านการลงทุนเราก็จะซื้อ การลงทุนตอนนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญของ ASP ซึ่งเรายังมีกระสุนอีกเยอะ แต่การซื้อของเราจะมากน้อยก็อยู่ที่เราพิจารณา ไม่จำเป็นว่าธุรกิจที่จะเข้าไปร่วมทุนจะต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาจจะไม่เกี่ยวเนื่องก็ได้ แต่มี synergy ซึ่งกันและกันก็พอ" นายก้องเกียรติ กล่าว
หลังจากนี้ สิ่งที่สำคัญของธุรกิจโบรกเกอร์ คือการเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทางธุรกิจ และการกระจายรายได้ที่เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็ได้กระจายรายได้ในส่วนของโบรกเกอร์ลดลงและเพิ่มในส่วนของการลงทุนที่มากขึ้น โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโบรกเกอร์ 59% จากปีก่อนอยู่ที่ 69% ขณะที่สัดส่วนรายได้จากพอร์ตลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 32% จากปีก่อน 17% ด้านธุรกิจบริหารสินทรัพย์ อยู่ที่ 6% และงานด้านวาณิชธนกิจ(IB)อยู่ที่ 2%
สำหรับงาน IB บริษัทได้รับงานอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ในครึ่งปีแรกมีงานออกมาน้อยมาก ดีลขนาดใหญ่ก็ไม่มีให้เห็น แต่ก็ยังมีดีลที่อยู่ในมือทยอยทำแบ่งเป็น งานที่ปรึกษากระจายหุ้น IPO ราว 10 ดีล งานที่ปรึกษาควบรวมกิจการ(M&A) 2 ดีล งานที่ปรึกษาออกหุ้นเพิ่มทุน(PO) 1 ดีล และ งานที่ปรึกษาทางการเงิน(FA) 5 ดีล
นายก้องเกียรติ กล่าวถึงภาพรวมของตลาดหุ้นไทยว่า ยังมีโอกาสในการลงทุนสูงเนื่องจากพบว่ามีหุ้นกว่า 200 บริษัทมีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี(BV) และยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี อยู่ที่ว่าใครจะเลือกลงทุน ซึ่งขณะนี้ถือว่ามีสัญญาณที่ดีที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีโดยเฉพาะเศรษฐกิจทั่วโลก และแรงกระตุ้นของรัฐบาลที่อัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ
ขณะที่ในไทยรัฐบาลก็มีการอัดฉีดเงินลงทุนซึ่งก็ทำให้ภาคธุรกิจเกิดความมั่นใจต่อการลงทุน โดยประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะโต 40% ในปีหน้า 16% แต่ก็มีปัจจัยกดดันคือเรื่องการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่รู้