บมจ.แสนสิริ(SIRI)ขยายการศึกษาแนวทางการลงทุนต่างประเทศ โดยมองไปที่ประเทศมาเลเซียเพิ่มเติมจากที่ได้ศึกษาเป้าหมายที่เวียดนามและสหรัฐ เนื่องจากมาเลเซียเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ไทยมากที่สุด น่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า และมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุน แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเข้าไปได้เมื่อไหร่ ต้องดูจังหวะและสถานการณ์ที่เหมาะสม ส่วนการลงทุนในประเทศอังกฤษ จะเห็นภายในสิ้นปีนี้แน่นอน ซึ่งคาดว่าหวังอัตราผลตอบแทนการลงทุน(IRR)ที่ 15%
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ SIRI กล่าวว่า การไปลงทุนต่างประเทศจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต นอกเหนือจากการสร้างรายในประเทศที่ยังมีความเติบโตอยู่ตามความต้องการของตลาด เห็นได้จากยอดขายในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมียอดขายแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาท
บริษัทจึงมั่นใจว่าทั้งปีจะทำรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย 1.7 หมื่นล้านบาท มาจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการ 16,400 ล้านบาท ธุรกิจให้บริการด้านอสังหาฯ 500 ล้านบาท และ ธุรกิจอื่น ๆ 100 ล้านบาท ขณะที่กำไรคาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น
นายอภิชาติ กล่าวว่า หากภายในช่วงครึ่งปีหลังไม่มีสถานการณ์ด้านลบมากระทบ ก็จะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องไปในปีหน้า และที่ผ่านมาบริษัทก็มีแผนที่จะซื้อที่ดินเพิ่มในช่วง 4 เดือนที่เหลือ ประมาณ 4-5 แปลง เพื่อรองรับความต้องการมากขึ้น และต่อเนื่องไปยังปี 53 โดยคาดว่าจะเปิดโครงการอย่างน้อย 19 โครงการ
นอกจากนั้น บริษัทจะเริ่มให้ความสำคัญในแง่ของการบริการมากขึ้น สอดคล้องกับบริษัทย่อยที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการลูกค้า คือ บริษัท พลัส พรอพเพอร์ตี้ ที่มีปัจจุบันมีสินทรัพย์รวม 2 หมื่นรายการ เป็นสินทรัพย์ของแสนสิริเอง 80% และเป็นสินทรัพย์ที่คนนอกมาฝากขาย 20% ซึ่ง พลัสฯ มีแผนเพิ่มสาขาที่หัวหินอีก 1 แห่งจากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นฐานลูกค้าหลักของบริษัท
ขณะที่บริษัท ทัช พรอพเพอร์ตี้ ซึ่งทำธุรกิจให้บริการด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมกับลูกค้า เช่น การจัดจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ลูกค้า โดยขณะนี้มีความร่วมมือกับผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้า 5-6 ราย จากจุดนี้จะทำให้กลุ่มแสนสิริในปีนี้มีอัตรากำไรสุธิเพิ่มเป็น 8% จาก 4% ในปีก่อน