โบรกเกอร์ แนะลงทุนหุ้น บมจ.ซีฟโก้(SEAFCO)มองผลกำไรช่วงครึ่งหลังของปี 52 เติบโตจากการรับงานใหม่เพิ่มเข้ามากว่า 1 พันล้านบาท และยังมีโอกาสได้งานเพิ่มอีก รวมถึงงานเสาเข็มเจาะในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่กำลังจะคัดเลือกซัพพลายเออร์และผู้รับเหมาะช่วงในเร็วๆนี้ ทำให้ประมาณการว่าในปี 52 SEAFCO จะมีกำไรประมาณ 50-70 ล้านบาท เติบโตอย่างชัดเจนจากปี 51 ที่มีกำไร 12 ล้านบาท และกำไรในปี 53 มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นตามที่ได้งานใหม่ที่ส่วนใหญ่เป็นงานภาครัฐ โดยเฉพาะในโครงการรถไฟฟ้า
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.ทิสโก้ ซื้อ 4.80
บล.กสิกรไทย ซื้อ 4.70
บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 4.61
บล.เอเซียพลัส ถือ 4.44สถาบันนครหลวงไทย ซื้อเก็งกำไร 4.22
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)มองว่าประเด็นหลักที่น่าเข้าลงทุน SEAFCO เพราะบริษัทจะมีงานประมูลมากขึ้นในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 2,100 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึง ก.ย.นี้บริษัทได้งานแล้ว 1,920 ล้านบาท และมีงานรอเซ็นสัญญาอีก 100-200 ล้านบาท เป็นผลจากมีงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามามากขึ้น จึงคาดว่ากำไรของบริษัทในปี 52 จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 50 ล้านบาท จาก 12 ล้านบาทในปี 51 และในปี 53 ก็คาดว่ากำไรจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 20%
"ตัวบริษัทมีแนวโน้มดีขึ้น ขณะนี้ราคายังไม่ถึง target ที่ตั้งไว้า ราคาก็ยังมี upside อยู่" น.ส.อาภาภรณ์ กล่าว
ด้านบล.ทิสโก้ ระบุว่า จากข้อมูลจากการประชุมกับผู้บริหารครั้งล่าสุด ยืนยันว่าผลประกอบการของ SEAFCO มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากมูลค่างานที่อยู่ในมือ(backlog)ที่ฟื้นตัวจากจำนวนงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อัตราส่วนกำไรขั้นต้นยังฟื้นตัว เนื่องจากงานก่อสร้างในตลาดมีมากขึ้น บรรเทาแรงกดดันต่อผู้รับเหมาก่อสร้างที่จะต้องปรับลดราคาลงเพื่อแข่งขันกัน
ทั้งนี้ คาดว่าผลประกอบการของ SEAFCO จะดีขึ้นในครึ่งหลังปี 52 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาส 4/52 เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าจะฟื้นตัวจากระดับต่ำที่ 6.8% ในไตรมาส 2/52 จากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากงานเสาเข็มเจาะที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากขึ้น ขณะที่กิจกรรมการก่อสร้างที่ชะลอตัวไปในครึ่งปีแรก เริ่มดีขึ้นและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีหน้า ปัจจัยหลัก คือโครงการของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการระบบขนส่งมวลชน(รถไฟฟ้า)ซึ่งน่าจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า
มูลค่า Backlog ของ SEAFCO ปัจจุบันอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.19 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 51 และ backlog จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 พันล้านบาท ถ้าลงนามในสัญญาก่อสร้างมูลค่า 620 ล้านบาท นอกจากนี้ SEAFCO ยังมีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้รับเหมาช่วง(subcontractor)สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงจาก CK และ STEC ซึ่งจะเริ่มในปีหน้า ตามโครงการรถไฟฟ้าหลายสาย เราคาดว่าโครงการของภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นตามด้วย ซึ่งในส่วนนี้เป็นตลาดเป้าหมายของบริษัท
ส่วนนักวิเคราะห์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 52 SEAFCO มีการรับงานใหม่มูลค่ารวม 1,558 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นงานโครงสร้าง ได้แก่ งานก่อสร้างถนน และงานอาคาร ทำให้ปัจจุบัน SEAFCO มี Backlog เพิ่มขึ้นเป็น 1,926 ล้านบาทรองรับการสร้างรายได้ไปจนถึงปี 54 และยังมีโอกาสรับงานเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท
ขณะที่งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงทั้ง 3 สัญญา ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในปี 53 นอกจากจะช่วยเพิ่มงานเสาเข็มเข้าสู่ระบบมากขึ้นแล้ว ยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน และทำให้มีการก่อสร้างอาคารสูงตามแนวรถไฟฟ้าตามมา จึงคาดว่าการแข่งขันด้านราคาระหว่างผู้ประกอบการเสาเข็มในปี 53 จะมีน้อยลง
ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการผลกำไรปี 52 ลงจากเดิม 20% เหลือ 68 ล้านบาทจากมาร์จิ้นที่ต่ำลง แต่ยังคงประมาณกำไรปี 53 ไว้เท่าเดิมที่ 96 ล้านบาท โดยมีการปรับลดรายได้ในปี 53 ลงจากเดิม 15% เนื่องจากจะมีการรับงานที่รับเฉพาะค่าแรงมากขึ้น แต่จะถูกชดเชยจาก gross margin ที่เพิ่มขึ้น
"ตอนนี้ราคาหุ้นปรับขึ้นไปรับ earning บริษัทล่วงหน้าไปแล้ว ราคาสะท้อนกำไรไปพอสมควร แม้ outlook1 จะได้รับผลดีจากโครงการต่างๆที่จะออกมา แต่ก็ยังมีคววามเสี่ยงว่า โครงการรัฐจะเกิดได้ตามแผนหรือเปล่า ราคาวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น คิดว่าไม่น่าไล่ราคา รอให้ราคาต่ำกว่า 4 บาท ค่อยเข้ามาลงทุนจะดีกว่า"นักวิเคราะห์ กล่าว
SEAFCO เป็นผู้รับเหมาช่วงที่มีความเชี่ยวชาญในงานเสาเข็มเจาะ โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดในงานดังกล่าวสูงถึง 47% ของมูลค่าการตลาดรวม