KCเตรียมปรับขึ้นราคาบ้านราว 5% ใน Q4/52ประคองมาร์จิ้นส่งผลต่อกำไรปี 53

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 11, 2009 11:50 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

นายชาย งามอัจฉริยะกุล ผู้จัดการฝ่ายบริหาร บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้(KC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเตรียมพิจารณาปรับขึ้นราคาขายบ้านในช่วงไตรมาส 4/52 โดยโครงการบ้านเดี่ยวจะปรับขึ้น 5% จากราคาเฉลี่ยหลังละ 3-3.5 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์จะปรับขึ้นหลังละ 3-5% จากราคาเฉลี่ย 1-1.2 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 15 โครงการ หรือ 750 ยูนิต

ทั้งนี้ บริษัทเห็นว่าโครงการที่พัฒนาอยู่อยู่มีทำเลที่ดี และเพื่อรองรับกับกรณีที่ภาษีกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จะครบในช่วงต้นปี 53 รวมทั้งเป็นการปรับเพื่อประคองอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ให้ดีขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ราคาวัตถุปรับขึ้นมากแต่บริษัทไม่สามารถปรับราคาขายบ้านได้ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับราคาขายดังกล่าวคงไปสะท้อนรายได้ในปีหน้าเป็นหลัก และทำให้มาร์จิ้นกลับสู่สภาวะปกติได้

นายชาย ยอมรับว่า ในปีนี้บริษัทต้องแบกต้นทุนเก่าจากค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารสต็อคบ้านที่มีอยู่ประมาณ 750-800 ยูนิต ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมชั่น, การให้ส่วนลดในการซื้อบ้าน ฯลฯ เพราะผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจทำให้ขายบ้านได้น้อยลง ประกอบกับ ความเข้มงวดในการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์

จากปัจจัยดังกล่าวเชื่อว่าจะส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะลดลงเหลือ 33-34% จากปีก่อนอยู่ในระดับ 38-40% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin)ก็จะลดลงมาอยู่ที่ 1% จากปีก่อนอยู่ในระดับ 6%

นายชาย กล่าวว่า การบริหารสต็อคบ้านที่มีอยู่ถือว่ามีความสำคัญ เพราะจะเป็นการประคองธุรกิจในปีนี้ให้ผ่านไปได้ และยังเป็นการเพิ่มกระแสเงินสด(Cash Flow)ให้กับบริษัทมากขึ้น บริษัทตั้งเป้าในการบริหารสต็อคในปีนี้ประมาณ 350 ยูนิต จากสต็อคบ้านที่มีอยู่ประมาณ 750-800 ยูนิต หรือประมาณ 15 โครงการ และจะไปหมดในไตรมาส 2/53

การบริหารดังกล่าวจะช่วยในแง่ยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ให้สามารถทำระดับได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 700-720 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีการรับรู้รายได้แล้ว 360 ล้านบาท และยังมีการรอรับรู้ฯ จากงานในมือ(Backlog)300-350 ล้านบาท จากจำนวน Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 800-850 ล้านบาท

นายชาย กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน สิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญในการบริหารสต็อค เพราะความเข้มงวดของแบงก์ทำให้ลูกค้ากู้ยากขึ้น รวมถึงบริษัทก็ประสบปัญหาดังกล่าวเหมือนกัน แต่ก็พยายามปรับวิธีทั้งการยืดระยะเวลาในการผ่อนดาวน์กับโครงการนานขึ้นเพื่อรอแบงก์ปล่อยกู้ รวมทั้งแผนการปรับขนาดพื้นที่บ้านให้เล็กลง ซึ่งก็จะทำให้ราคาบ้านลดงลงตามไปด้วย

"เราค่อยๆ หาวิธีในการบริหาร ไม่ใช่เราหยุดทำอะไร เพราะตอนนี้เราก็ยังมองหาที่ดินเพิ่ม ซึ่งเราก็เจรจาอยู่ย่านรามอินทรา แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ และช่วงหลังๆ เราจะใช้วิธีเปิดเป็นเฟส ๆ เพื่อดู speed ของการขาย ถ้าขายดีก็ค่อยเปิดเพิ่ม ไม่เช่นนั้นจะทำให้สต็อคเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้ผมมองว่าระดับกลางกำลังซื้อยังมีมหาศาลเพียงแต่ความเข้มงวดในการกู้ทำให้ลำบากขึ้นเท่านั้น"นายชาย กล่าว

นายชาย กล่าวต่อว่า การพัฒนาโครงการใหม่คงยังไม่เห็นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะเป็นลักษณะการเปิดเฟสต่อเนื่องเพิ่มมากกว่า เช่น เค.ซี.พาร์ค สุวินทวงศ์ เฟส 2 ขณะที่โครงการ เค.ซี.เนเชอรัล วิลล์ ร่มเกล้า อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ ซึ่งเดิมวางแผนที่จะเปิดในไตรมาส 3/52 แต่คงจะไปเห็นในไตรมาส 4/52 แทน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ