STANLYรอประเมินออร์เดอร์ถึงต้นปี 53ก่อนปัดฝุ่นแผนสร้างรง.6 รับอีโคคาร์

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 21, 2009 10:36 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า(STANLY)รอประเมินสถานการณ์ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ก่อนหยิบแผนลงทุนโครงการตั้งโรงงานใหม่แห่งที่ 6 เพื่อรองรับอีโคคาร์ขึ้นมาปัดฝุ่นทบทวน จากที่ชะลอการลงทุนไปในช่วงที่ผ่านมา หากคำสั่งซื้อยังฟื้นตัวต่อเนื่องหลังที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อจากเกือบทุกค่ายรถยนต์แล้ว และเชื่อว่าการที่ไทยเป็นฐานการผลิตของค่ายรถญี่ปุ่นจะทำให้การฟื้นตัวกลับมาได้ค่อนข้างเร็ว โดยคาดว่าอัตราการใช้กำลังผลิตจะกลับมาสู่ระดับ 100% ในปีหน้าจากขณะนี้อยู่ที่ 70%

"เรื่องลงทุนคงขอดูก่อนเพราะปีนี้ไม่แน่ว่าถ้าในอนาคตดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็น่าจะมีการลงทุน เพราะ STANLY มีแผนที่จะเปิดโรงงานใหม่รองรับอีโคคาร์ แต่ตอนนี้ก็ยังชะลอ คงต้องดูปีนี้จนถึงต้นปีหน้าว่าจะกลับมาหรือเปล่า เพราะอีโคคาร์จะเกิดปี 2010 อีโคคาร์เกิดค่อยทำโรงงานกันใหม่ คิดว่ายังมีเวลาอยู่"น.ส.รัตนาภรณ์ บุญวงศ์ นักลงทุนสัมพันธ์ STANLY กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวว่า เหตุที่ก่อนหน้านี้ STANLY ตัดสินใจชะลอการสร้างโรงงานแห่งใหม่ เพราะขณะนี้โรงงานในปัจจุบันที่มีอยู่ 5 โรงยังใช้กำลังการผลิตกันไม่เต็ม ดังนั้น ในระยะแรกสำหรับการผลิตชื้นส่วนเพื่อรองรับโครงการอีโคคาร์อาจจะใช้โรงงานทั้ง 5 ไปก่อน และหากออร์เดอร์กลับมาอย่างต่อเนื่องและอีโคคาร์เกิดจริง ก็จะมาพิจารณาเรื่องการลงทุน โดยเชื่อว่าอีโคคาร์น่าจะได้เห็นชัดเจนในปีหน้า

ปัจจุบัน บริษัทได้ปิดโรงงานที่นวนครไป 1 โรง ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และย้ายมาผลิตที่โรงงานบางพูน ซึ่งเป็นการปิดชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์ ส่วนจะเปิดเมื่อใดคงต้องรอดูออร์เดอร์ที่เข้ามา โดยโรงงานที่บางพูนจะมีโรงงานผลิตหลอดไฟ 1 โรง ผลิตแม่พิมพ์ 1 โรง และ ผลิตโคมไฟอยู่ในพื้นที่เดียวกัน กำลังการผลิตรวมทั้งหมด 45 ล้านชิ้นต่อปี แต่มีอัตราใช้กำลังการผลิต 70% เนื่องจากออร์เดอร์หายไปพอสมควร ส่วนจะเริ่มกลับมาผลิตปกติ 100% น่าจะประมาณปีหน้า

"แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับลูกค้าจะสั่งออร์เดอร์เรามาด้วย เพราะ made to order อย่างโตโยต้าก็รับคนเพิ่ม มิตซูบิชิก็รับเพิ่ม ของเราก็รอดูลูกค้าสั่งออเดอร์เพิ่มมาก่อน เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้รับของ ณ เดือนนั้น แต่ตอนนี้ก็มีเข้ามาบ้างแล้วแต่ยังไม่เหมือนปี 2550"น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าว

*ทยอยรับคนเพิ่มหลังออร์เดอร์เริ่มฟื้น งวดปีนี้รายได้ลดเน้นประคองกำไร-ปีหน้ารอลูกค้าประเมินภาพ 1-2 เดือน

น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทเริ่มได้รับคำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์)เข้ามาเพิ่มขึ้นแล้ว โดยเป็นงานโคมไฟจากเกือบทุกค่ายรถ หลังจากช่วงที่ผ่านมาตอนต้นปีลูกค้าพยายามทำสต็อกไว้ ทำให้ยอดออร์เดอร์ลดลงเกือบทั้งหมด แต่พอทำสต็อกได้ระดับหนึ่ง ตอนนี้ก็ค่อยๆทยอยสั่งเข้ามา และตอนนี้บริษัทก็มีการทยอยรับพนักงานเข้ามาเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่มาก

ทั้งนี้ บริษัทมองว่าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์กำลังเริ่มฟื้นตัวแล้ว เพราะถ้ามองแง่กว้างๆ คือ ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นทุกรายเข้ามาลงทุนเพื่อใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต เมื่อลงทุนไปแล้วอย่างไรก็ตามก็ต้องผลักดันให้เดินหน้าต่อไป และน่าจะมีการเรียกร้องการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาทุกรัฐบาลก็จะสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์มาโดยตลอด ดังนั้น โอกาสที่จะกลับมาฟื้นหรือได้รับการสนับสนุนก็น่าจะยังสูงอยู่

"ช่วงนี้ออร์เดอร์เริ่มเข้ามาแล้วเพราะเราจะทราบออร์เดอร์ล่วงหน้า ออร์เดอร์เริ่มกลับมาแต่ก็ยังไม่ถึงกับเมื่อปี 2007 แต่ก็ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เราเริ่มรับคนเพิ่มทยอยทีละ 10-20 คนตามงาน ช่วงนี้ก็มีทยอยรับแต่ยังไม่มาก ปกติเรามี 2 กะบวกโอที 3 ชม.ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น แต่ถ้าช่วงที่งานไม่ค่อยมีก็จะเป็น 2 กะ ไม่มีโอที"น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าว

สำหรับยอดขายในงวดไตรมาส 2/52(ก.ค.-ก.ย.52) คาดว่าน่าจะดีขึ้นอาจจะไม่ถึง 10% จากไตรมาส 1/52 และไตรมาส 3/52 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดว่าน่าจะดีกว่าไตรมาส 2 โดยบริษัทจะประกาศงบฯไตรมาส 2/52 ในปลายต.ค. ซึ่งเมื่อเห็นงบฯไตรมาส 2 ก็น่าจะพอเห็นสัญญาณในอีก 6 เดือนต่อไปได้

"งบฯไตรมาส 2/52 ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็น่าจะเป็นที่พอใจ ไตรมาส 3/52 ถ้าลูกค้าออเดอร์ไม่เปลี่ยนแปลงก็น่าจะดีขึ้นกว่าช่วงต้นๆ ปี ปีนี้คงมีกำไรอยู่" น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าว

อนึ่ง งวดไตรมาส 1/52(เม.ย.-มิ.ย.52) มียอดขายอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่ายอดขายในปีนี้คงจะลดลงจากปีที่แล้วค่อนข้างแน่นอน โดยในปี 51 บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 8,300 ล้านบาท ปกติมียอดขายไตรมาสละ 2,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้คงไม่ถึงแล้ว เพียงแต่เชื่อว่ายอดขายน่าจะเริ่มค่อยๆ ขยับขึ้น ส่วนปีหน้าต้องขึ้นอยู่กับภาวะอุตสาหกรรม หากค่อยๆดีขึ้นก็น่าจะกลับมา

"ปีนี้คาดว่าจะลดลงแน่ เพราะอุตสาหกรรมนี้ลงค่อนข้างหนัก แต่ก็ต้องดูครึ่งปีหลังอีกทีว่าจะฟื้นได้เยอะไหม เพราะเราจะอิงกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะ 100% เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เพียงแต่ประเภทสินค้าอาจจะมีหลอดไฟกับตัวแม่พิมพ์มาช่วยให้ยอดเพิ่มขึ้นบ้างแต่ไม่มาก"น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าว

บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ชิ้นส่วนกลุ่มโคมไฟรถยนต์ 55% จักรยานยนต์ 95% ส่วนใหญ่เป็นค่ายญี่ปุ่น ขณะที่มีการส่งออกโดยตรง 10-15% แต่ส่วนใหญ่จะส่งให้กับลูกค้าในประเทศเพื่อนำไปส่งออกต่อ คาดว่าการส่งออกไปยังประเทศตะวันออกลางน่าจะดีขึ้นเพราะได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลกน้อยที่สุด ขณะที่ในระยะหลังรถยนต์ญี่ปุ่นได้รับความนิยมในตลาดโซนอเมริกาและอเมริกาใต้มากขึ้น ก็น่าจะทำให้ตลาดในส่วนนี้ดีขึ้นด้วย

น.ส.รัตนาภรณ์ กล่าวว่า บริษัทยังมียอดขายในส่วนที่ร่วมกับทาง Cockpit เพื่อขายสินค้าภายใต้แบรนด์ RayBrick ซึ่งเป็นชุดหลอดไฟแต่งรถ ซึ่งไม่ได้หวังที่จะมา drive ยอดขายมากนักในระยะแรก แต่ต้องการสร้างแบรนด์ออกไปให้รู้จักมากขึ้น

สำหรับทิศทางปีหน้า(53) คงต้องรอดูการประมาณการของลูกค้าก่อน แต่ลูกค้าก็เปลี่ยนยอดออเดอร์ได้ คงตอบยากต้องให้ทางค่ายรถหรือทางอุตสาหกรรมออกมาประเมินดีกว่าแต่ตอนนี้น่าจะเร็วไปที่จะตอบ แต่อีก 1-2 เดือนคงจะสามารถคาดการณ์ผลประกอบการของปีต่อไปได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ