ทริส จัดเครดิตหุ้นกู้ใหม่ RCL วงเงินไม่เกิน 2.5 พันลบ.ที่ BBB

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 22, 2009 13:39 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาทของ บมจ. อาร์ ซี แอล (RCL) ที่ระดับ “BBB" พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 1,600 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในเดือนมกราคม 2553 และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นทุนในการดำเนินงาน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีความสามารถและประสบการณ์ ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดผู้ประกอบการขนส่งทางเรือระดับภูมิภาคอันเนื่องมาจากความได้เปรียบในเรื่องขนาดของกองเรือ ความถี่ในการให้บริการ และอายุเฉลี่ยของกองเรือที่ยังต่ำ

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนแนวโน้มราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และอุปทานส่วนเกินของเรือที่มีจำนวนมาก โดยคาดว่าปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยดังกล่าวจะกดดันความสามารถในการสร้างผลกำไรและสภาพคล่องของบริษัทในระยะสั้นและระยะปานกลาง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ต่ำกว่าประมาณการเนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่ชะลอตัว บริษัทจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับปรุงผลกำไรให้ดีขึ้นในช่วงที่อุปสงค์ลดต่ำลง หรือในช่วงที่มีจำนวนเรือใหม่เพิ่มมากขึ้น หรือในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น

ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทไม่สามารถทำกำไรและสร้างความแข็งแกร่งด้านสภาพคล่องได้ ในทางตรงข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับเปลี่ยนเป็น “Stable" หรือ “คงที่" หากบริษัทประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนพร้อมกับมีอัตราส่วนกำไรอยู่ในระดับที่น่าพอใจและสามารถสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งเพื่อใช้ในการจ่ายคืนหนี้และลงทุนขยายธุรกิจ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า RCL เป็นผู้ประกอบการกองเรือสินค้าขนาดเล็ก หรือเรือฟีดเดอร์ (Feeder Business) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้อมูลทางสถิติของการท่าเรือสิงคโปร์และตัวแทนในท้องถิ่นของบริษัท บริษัทมีส่วนแบ่งสูงที่สุดในตลาดเรือขนส่งสินค้าขนาดเล็กระหว่างท่าเรือย่อยกับเรือเดินสมุทรในเส้นทางสิงคโปร์กับฟิลิปปินส์ กับมาเลเซีย และกับไทย ซึ่งเป็นผลมาจากความถี่ของการให้บริการต่อสัปดาห์และขนาดของกองเรือโดยเฉลี่ยที่มีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถขนส่งสินค้าได้เป็นจำนวนมาก

บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการ 30 รายที่มีกองเรือขนาดใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปริมาณการค้าที่ลดลงจึงทำให้บริษัทต้องลดระวางการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์โดยการคืนเรือเช่าซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและเพิ่มอัตราการใช้ประโยชน์ของกองเรือ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 บริษัทมีระวางบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ทั้งสิ้น 52,128 ตู้ (TEU) โดยมีเรือของตนเองจำนวน 34 ลำ และมีเรือเช่าระวาง 7 ลำ ความจุระวางในการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัทลดลงประมาณ 8% จาก ณ สิ้นปี 2551

การที่บริษัทมีกองเรือขนาดใหญ่จึงทำให้ง่ายต่อการจัดตารางเวลาและความถี่ในการให้บริการมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นซึ่งมีกองเรือที่มีขนาดเล็กกว่า นอกจากนี้ การที่เรือส่วนใหญ่ของบริษัทยังมีอายุน้อยโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 10 ปีจึงทำให้บริษัทได้ประโยชน์ในเรื่องของการประหยัดน้ำมันและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำ

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือมีลักษณะเป็นวงจรที่ขึ้นและลงเป็นอย่างมากซึ่งจะกินเวลารอบละประมาณ 5-6 ปี อุปสงค์ของธุรกิจการเดินเรือเกี่ยวเนื่องเป็นอย่างมากกับภาวะเศรษฐกิจและการค้า โดยที่ภาวะเศรษฐกิจโลกจะมีผลกระทบต่อธุรกิจกองเรือฟีดเดอร์ (SOC Business) ในขณะที่การค้าภายในภูมิภาคเอเซียเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อธุรกิจเรือบริการขนส่งตู้สินค้าประจำเส้นทาง (COC Business) ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มปรากฏชัดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 โดยปริมาณการขนส่งของบริษัทเริ่มลดลง 2% ปริมาณการขนส่งสินค้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

เนื่องจากปริมาณการขนส่งของธุรกิจกองเรือฟีดเดอร์ลดลงอย่างมาก โดยลดลง 4% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 และ 31% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา การที่ภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศแถบเอเซียยังคงเข้มแข็งกว่าในสหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรปจึงส่งผลให้ปริมาณการขนส่งสินค้าของธุรกิจ COC เพิ่มขึ้น 1% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 และลดลงเพียง 10% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

อัตราค่าระวางของการขนส่งสินค้าทางเรือโดยเฉลี่ยของ RCL ปรับตัวลดลงเช่นกันจาก 208 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ในปี 2550 เป็น 201 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ในปี 2551 สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2552 อัตราค่าระวางยังคงลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 180 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้จากผลของปริมาณการขนส่งสินค้าที่ชะลอตัวและอุปทานส่วนเกินของระวางการบรรทุกสินค้า โดยการขึ้นอัตราค่าระวางนั้นจะขึ้นอยู่กับความรวดเร็วของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ระวางการบรรทุกสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10% จากจำนวนเรือที่จะส่งมอบในช่วงปี 2553-2555 จะยังคงเป็นปัจจัยในการกดดันการขึ้นค่าระวาง

ในปี 2551 รายได้รวมของบริษัทลดลง 1% สู่ระดับ 19,532 ล้านบาทเนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและอัตราค่าระวางที่ลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม รายได้รวมของบริษัทลดลงอย่างมากถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สู่ระดับ 7,212 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เนื่องจากการปรับตัวลดลงอย่างมากของปริมาณการขนส่งสินค้าและอัตราค่าระวาง กำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ (หลังปรับค่าเช่าดำเนินงาน) ลดลงจาก 17.0% ในปี 2550 มาเป็น 4.1% ในปี 2551 เนื่องจากอัตราค่าระวางที่ปรับลดลง ตลอดจนต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น และผลขาดทุนจากการทำสัญญาประกันการซื้อน้ำมัน แม้ว่าราคาน้ำมันในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 จะลดลงมากกว่า 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่การปรับตัวลดลงอย่างมากของปริมาณการขนส่งสินค้าและอัตราค่าระวางได้ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานต่อรายได้ที่ระดับ -13.9%

ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 33.7% ในปี 2550 เป็น 44.7% ในปี 2551 และ 44.9% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เนื่องจากบริษัทมีการกู้ยืมระยะยาวเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการซื้อเรือใหม่

ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย (หลังปรับค่าเช่าดำเนินงาน) ลดลงจาก 7.5 เท่าในปี 2551 เป็นเพียง 0.1 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 จากการที่วงเงินสินเชื่อของบริษัทมีเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับผลประกอบการทางการเงินและหนี้สิน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายและอัตรา ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจึงเกินกว่าระดับที่กำหนดมาตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคม 2552

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับการผ่อนปรนที่จะไม่ต้องดำรงอัตราส่วนดังกล่าวจากเจ้าหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2554



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ