นายบี เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้บริษัทฯ กำลังรอระบบเทรดดิ้งใหม่ ซึ่งเป็นระบบที่จะเชื่อมกับลูกค้ากองทุนต่างประเทศ โดยบริษัทฯจะเริ่มทำการเปลี่ยนระบบเทรดใหม่นี้ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ และคาดว่าจะเริ่มใช้ระบบเทรดใหม่ได้ในต้นเดือนพฤศจิกายน 2552
"เราเปลี่ยนระบบของเราทั้งหมดเลยไล่ไปตั้งแต่ 26 ตุลาคม เราเปลี่ยนระบบสำหรับการเทรดให้กับมาร์เก็ตติ้ง และ retail ทั้งหมดเลย และก็มีระบบ online เทรดดิ้งในประเทศไทย มีระบบ online เทรดดิ้งไปต่างประเทศอีก ซึ่งระบบก็จะมีการเชื่อมระบบ back กับ front office เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถเปิดบัญชีไปทั่วประเทศได้ภายในเวลา 15 นาที เมื่อ active ก็จะสามารถเทรดได้ทันทีเลย แต่เอกสารจะต้องครบนะ ซึ่งตรงนี้ก็ทำมาเกือบ 1 ปีแล้ว ซึ่งใช้งบลงทุนทั้งหมดกว่า 100 ล้านบาท ค่าซอฟแวร์กับระบบก็ใช้เงินไป 70 ล้านกว่าเข้าไปแล้ว และซื้อเครื่องคอมฯ 1,300 กว่าเครื่อง"นายบี กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGS กล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทฯกำลังจะขยายสาขาเพิ่มอีก ซึ่งก็จะรวมเป็น 55 สาขา จากเดิมที่มี 36 สาขา แต่สาขาที่เพิ่มขึ้นเป็นทั้งสาขาย่อย และมีลูกค้ากับมาร์เก็ตติ้งอยู่แล้ว
"จากเดิมเรามี 65 สาขา แล้วก็ทำการปิดสาขาที่ไม่ perform ไปทำให้เหลือ 36 สาขา แล้วมาตอนนี้เราก็มีการเปิดสาขากลับขึ้นมาเพิ่มเป็น 55 สาขา แต่ที่เปิดสาขาขึ้นมาใหม่ อันที่ 1 เป็นสาขาย่อย อันที่ 2 เป็นสาขาที่มีลูกค้าและมาร์เก็ตติ้งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกสาขาที่เราเปิดขึ้นมามันจะต้องมีกำไรอยู่แล้ว จากนี้ไปก็จะดูก่อนที่จะเปิดสาขาเพิ่ม ซึ่งเราจะต้องดูในเรื่องของการครอบคลุมพื้นที่ก่อน ตอนนี้เราครอบคลุมพื้นที่หลัก ๆ ค่อนข้างเยอะแล้ว พวกเชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต อะไรอย่างนี้"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGS กล่าว
นายบี กล่าวอีกว่า ระบบเทรดใหม่ที่จะเกิดขึ้นมานี้ ก็น่าจะทำให้บริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดจากธุรกิจหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็คาดหวังว่าจะได้มาร์เก็ตแชร์มากกว่า 10% หลังจากที่ใช้ระบบนี้แล้ว เนื่องจากขณะนี้มีกองทุนต่างชาติหลายรายที่รอระบบเทรดใหม่นี้อยู่ หากเปิดใช้แล้ววอลุ่มเทรดของลูกค้าต่างชาติก็น่าจะเข้ามามากขึ้น จากปัจจุบันที่มีกองทุนต่างชาติเทรดหุ้นผ่าน CGS อยู่แล้วประมาณ 12 กองทุน ส่วนลูกค้าสถาบันในประเทศของ CGS จะเป็นลูกค้าบลจ.ซึ่งก็มีมาเปิดบัญชีอยู่ 6 บัญชีในขณะนี้
ปัจจุบันลูกค้าของ CGS ส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้ารายย่อยอยู่ประมาณ 95% อีก 5% เป็นลูกค้าสถาบัน ซึ่งถือว่ายังมีอยู่ในสัดส่วนที่น้อยอยู่
*มาร์เก็ตติ้งย้ายจาก KEST ไป CGS กว่า 30 ราย
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้มาร์เก็ตติ้งของบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)หรือ KEST กำลังจะย้ายไปอยู่ที่ CGS กว่า 30 ราย ซึ่งเป็นมาร์เก็ตติ้งจากสาขาของ กิมเอ็งฯ เห็นว่ามีมาจากสาขาที่จันทบูรี, ชลบุรี, โคราช, อุบลราชธานี, สุรินทร์ และหาดใหญ่
ผู้บริหารของ CGS อีกรายหนึ่ง กล่าวยอมรับกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในเร็ว ๆ นี้ CGS จะมีมาร์เก็ตติ้งมาเพิ่มอีก 30-40 ราย ส่วนหนึ่งเป็นมาร์เก็ตติ้งที่มาจากบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)หรือ KEST แต่ละรายมาร์เก็ตติ้งมาด้วยตนเองด้วยความสมัครใจ ทางบริษัทฯไม่ได้เข้าไปเจรจาขอซื้อจากบริษัทฯต้นสังกัดของมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานทาง CGS ก็น่าจะทำหนังสือขอความยินยอมกับทางบล.กิมเอ็งฯ ด้วย
"การเพิ่มมาร์เก็ตติ้งของ CGS ไม่ได้ทำให้ต้นทุน fix cost ของบริษัทฯเพิ่มขึ้น เพราะเงินที่มาร์เก็ตติ้งได้รับจะเป็นแบบ Incentive ซึ่งจะคิดตามผลงาน"ผู้บริหาร CGS กล่าว
ผู้บริหาร CGS กล่าวต่อว่า ผลการลงทุนในส่วนของ POP trade ของ CGS ในปัจจุบัน สามารถสร้างผลกำไรได้ดี ซึ่งบริษัทฯมีพอร์ตลงทุนอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท จะแบ่งเป็นการลงทุนระยะยาว และระยะสั้น ส่วนของ POP trade ถือเป็นการลงทุนระยะสั้น ซึ่งก็จะมีวงเงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท/วัน