นายวิทยาธร ท่อแก้ว คณะกรรมการบริษัท บมจ.อสมท (MCOT) กล่าวกับ "อินโฟเควสท์"ว่า คาดว่าจะได้ข้อสรุปสัญญาร่วมการงานระหว่างอสมท และบมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC)ได้ข้อสรุปภายในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งขณะนี้จะมีการนัดเจรจาอย่างไม่เป็นทางการได้ในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าการเจรจาจะเกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรมกับทั้งสองบริษัท ซึ่งต่างเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก รวมทั้งที่ผ่านมาทั้ง 2 บริษัทสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีภายใต้สัญญาร่วมการงานจึงต้องการรักษาสัมพันธภาพที่ดีของทั้งสองบริษัทเอาไว้
“ทั้ง 2 บริษัทต้องการข้อสรุปร่วมกันซึ่งเชื่อว่าจะเป็นไปในทางบวกต่อทั้ง 2 บริษัท ไม่มีใครสูญเสียประโยชน์หรือไม่เป็นธรรม ช่อง 3 เองก็แสดงความจำนงว่าต้องการเจรจามาแล้วแม้ไม่เป็นทางการ แต่เชื่อว่าจะนัดคุยกันได้เร็วๆนี้ เพราะบอร์ดเอง ก็อยากให้ทุกเรื่องสรุปได้ภายในเดือนต.ค."
ส่วนรายละเอียดในการเจรจาร่วมกันนั้น คงยังไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากต้องรักษาข้อมูลจนกว่าจะได้มีการเจรจากันแต่เชื่อว่าภายหลังการเจรจาจะเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนได้ ซึ่งเบื้องต้นไม่ได้คำนึงถึงแง่รายได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องหารือในแง่ของการพัฒนาสื่อ การลงทุน ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร
นายวิทยาธร กล่าวว่า สัญญาร่วมการงานกับ BEC จะครบกำหนดในเดือนมีนาคม 2553 ดังนั้น อสมทจึงวางกรอบเวลาว่าทุกอย่างจะมีความชัดเจนในเดือนตุลาคม 2552 เพราะหลังจากนั้นยังมีขั้นตอนการนำเสนอต่อสภาพัฒน์และคณะรัฐมนตรี
นอกจากนี้ ในส่วนการเจรจาสัญญาร่วมการงานกับ TRUE VISION นั้นกำหนดในวันที่ 2 ต.ค.นี้ ซึ่งในฐานะทีมคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนในการเจรจา หลังจากมีมติให้ TRUE VISION สามารถมีโฆษณาได้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยคงส่วนแบ่งรายได้ที่ 6.5 % แต่หากมีรายได้จากการโฆษณาเชื่อว่า MCOT จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก TRUE VISION ที่ประมาณปีละ 400-700 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นที่จะต้องนำมาประกอบด้วย นอกจากนี้ยังคงต้องเจรจาเรื่องข้อตกลงอื่นๆ ด้วย เช่นการที่ TRUE VISION ออกจากตลาดหลักทรัพย์ ความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยไม่น่าจะมีปัญหาเนื่องจากทั้งสองบริษัทต่างต้องการให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ด้านนายเขมทัตต์ พลเดช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ MCOT เชื่อว่า สัญญาร่วมการงานกับ BEC และ TRUE VISION น่าจะได้ข้อสรุป โดยเชื่อว่าจะสามารถตกลงกันได้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าวเรื่องเม็ดเงินรายได้ เพราะจำเป็นต้องดำเนินธุรกิจต่อไป โดยหน้าที่ในการเจรจาเป็นเรื่องของคณะกรรมการซึ่งฝ่ายบริหารไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่อย่างใด
นายเขมทัต กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทยังคงรักษาเป้าหมายรายได้เติบโต 5% จากปีก่อน แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากเนื่องจากเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ยังคงไม่เติบโตมากนัก โดยจะรักษารายได้ในไตรมาส 3/52ให้ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/52 แต่น่าจะดีขึ้นในไตรมาส 4/52 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ
ทั้งนี้ธุรกิจมีการแข่งขันในการหาลูกค้ามีสูง และลูกค้ามีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นกว่าจะลงโฆษณา โดยบริษัทได้มีการปรับผังรายการตามโปรแกรมเพื่อให้อยู่ในความสนใจเพื่อดึงเม็ดเงินโฆษณามายังช่อง 9 บ้าง เช่นรายการ ซุปเปอร์สตาร์ ซีซั่น 2 ซึ่งออกอากาศทุกคืนวันเสาร์แทนอคาเดมีที่จบไป และรายการ LG Entertainer ที่ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ ซึ่งภายหลังการเริ่มออกอากาศไปได้รับความนิยมดี และนอกจากนี้ยังมีซีรีย์ใหม่ที่นำนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาเป็นแขกรับเชิญในแต่ละตอนออกอากาศทุกวันเสาร์อาทิตย์ โดยได้จีทีเอช มาเป็นผู้ผลิตให้น่าจะได้รับความสนใจ
นายเขมทัต กล่าวว่า บริษัทได้จัดประกวดนางสาวไทยเป็นปีที่ 2 โดย รายได้ปีละประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งปีนี้หลังทำการเจรจาสปอนเซอร์เชื่อว่าจะได้รายได้ตามที่วางไว้ นอกจากนี้ยังมีแผนทำการตลาดให้กับกิจกรรมต่างๆที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปีทั้งงานคอนเสิร์ต โชว์ต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นส่วนที่ทำให้รายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้