โบรกเกอร์ เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น คาดน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์มีสิทธิขยับขึ้นเหนือระดับ 75 เหรียญฯ/บาร์เรลในช่วงสั้น ส่วนน้ำมันดิบในตลาดดูไบคาดการณ์ว่าปี 53 จะเฉลี่ยที่ 63-65 เหรียญฯ/บาร์เรล ขณะที่กรณีปัญหามาบตาพุด PTTEP แทบไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากได้มีการทำสัญญาซื้อขายก๊าซกับทาง ปตท.ไว้แล้ว
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 3/52 คาดว่า PTTEP จะมีกำไรสุทธิประมาณ 5,600-5,800 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 3/51 ที่มีกำไรสุทธิ 12,984 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงมากจากการตัดจ่ายหลุมแห้งที่ออสเตรเลีย 2 หลุม และที่ตะวันออกกลาง 1 หลุม และยังมีค่าใช้จ่ายจากการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันในโครงการ Montara ด้วย
ส่วนกำไรสุทธิทั้งปี 52 คาดการณ์ในกรอบ 23,700-31,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 41,675 ล้านบาท โดยรับผลจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาก และมีค่าใช้จ่ายมาก รวมทั้งปริมาณการขายน้ำมัน-ปิโตรเลียมอาจจะทำไม่ได้ตามเป้า 240,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากครึ่งปีแรกทำได้แค่ 225,000 บาร์เรล/วัน และคาดว่าไตรมาส 3/52 น่าจะทำได้ 230,000 บาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ดี ปีหน้คาดว่ากำไรสุทธิของ PTTEP จะกลับมาดีขึ้นคาดอยู่ในกรอบ 34,700-48,000 ล้านบาท จากการคาดการณ์ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น และปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่ขยับขึ้นมาเป็น 300,000 บาร์เรล/วัน
โบรกฯ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท) บล.นครหลวงไทย ซื้อ 202.00 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 184.00 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 209.00 บล.กสิกรไทย ซื้อ 201.00 บล.พัฒนสิน ซื้อ 193.00 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 191.46 บล.ทิสโก้ ซื้อ 187.00 บล.ธนชาต ซื้อ 200.00 บล.ไทยพาณิชย์ ซื้อ 207.00 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ซื้อ 167.00 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 187.00 บล.คันทรี่ กรุ๊ป ซื้อ 168.00 บล.เคที ซีมิโก้ ซื้อ 180.00 บล.ไอร่า ซื้อเมื่ออ่อนตัว 171.00
นายมงคล พ่วงเภตรา เจ้าหน้าที่วิเคราะห์อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า การประเมินมูลค่าพื้นฐานหุ้น PTTEP ที่ 168 บาท/หุ้น ในช่วงสั้นคาดว่าจะรับผลดีจากราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ที่จะสามารถขยับขึ้นเหนือระดับ 75 เหรียญฯ/บาร์เรลได้ อีกทั้งกรณีปัญหาของมาบตาพุดมองว่า PTTEP ได้รับผลกระทบน้อยมากแทบไม่มีสาระสำคัญเลย
อีกทั้งมองว่าปี 53 กำไรสุทธิของ PTTEP จะฟื้นตัวขึ้นมาก คาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 48,000 ล้านบาท เมื่อเทียบจากปีนี้ที่กำไรสุทธิจะอยู่ที่ราว 31,000 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปี 51 ที่มีกำไรสุทธิที่ 41,000 ล้านบาท เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาก และ PTTEP ยังมีค่าใช้จ่ายมากในปีนี้ ขณะที่ปริมาณการผลิตไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาก โดยปีนี้คาดว่าราคาขายน้ำมันจะปรับตัวลงมากเฉลี่ยปรับตัวลง 18% ซึ่งจะไปถ่วงผลกำไรของ PTTEP ขณะที่ปริมาณการขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8%
อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิของ PTTEP จะปรับตัวลงปีนี้ แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อ valuation และราคาหุ้น PTTEP ในปัจจุบันมองว่าได้สะท้อนถึงผลประกอบการปีนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น downside risk ของ PTTEP จึงต่ำ
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 3/52 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 5,600 ล้านบาท ลดลง 56% yoy และลดลง 13% qoq เนื่องจากไตรมาส 3/52 ทาง PTTEP มีค่าใช้จ่ายสูงมาก จากการตัดจ่ายหลุดแห้ง 3 หลุม ที่ออสเตรเลีย 2 หลุม และที่ตะวันออกกลาง 1 หลุม และยังมีค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหลของน้ำมันที่โครงการ Montara อีกด้วย
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเป้าหมายหุ้น PTTEP ปี 53 ที่ 209 บาท/หุ้น ทั้งนี้ขณะนี้ได้มีการปรับประมาณการของ PTTEP ไปเป็นปีหน้าแล้ว โดยได้มองทิศทางดีขึ้นจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ตลาดดูไบ ซึ่งได้ปรับเพิ่มประมาณการราคาน้ำมันของปีหน้าเป็นเฉลี่ย 63 เหรียญฯ/บาร์เรล จากเดิมเฉลี่ย 60 เหรียญฯ/บาร์เรล และได้ปรับประมาณการค่าเงินบาทด้วย โดยปี 53 คาดเงินบาทเฉลี่ยที่ 34 บาท/ดอลลาร์ฯ จากเดิมคาดเฉลี่ย 35 บาท/ดอลลาร์ฯ แต่โดยหลัก ๆ แล้ว PTTEP จะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวขึ้น
สำหรับกรณีปัญหาของมาบตาพุด มองว่า PTTEP ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากได้มีการทำสัญญาซื้อขายก๊าซกับทาง ปตท.ไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมาบตาพุดเกิดปัญหาขึ้น ทางปตท.จะต้องหาทางแก้ไขเอง แต่ยังไงปตท.ก็ต้องรับสินค้าและจ่ายเงินตามสัญญาซื้อขายก๊าซที่ทำไว้กับ PTTEP
ส่วนผลประกอบการงวดไตรมาส 3/52 ของ PTTEP คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 5,800 ล้านบาท ลดลง 11% qoq และลดลง 55% yoy โดยไตรมาส 3/51 มีกำไรสุทธิ 12,984 ล้านบาท
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิของ PTTEP ทั้งปี 52 ที่ 23,700 ล้านบาท ลดลงจากปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 41,000 ล้านบาท โดยรับผลจากปริมาณการขายน้ำมัน-ปิโตรเลียมทำไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 240,000 บาร์เรล/วัน แต่ครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แค่ 225,000 บาร์เรล/วัน และคาดว่าไตรมาส 3/52 น่าจะทำได้ 230,000 บาร์เรล/วัน นอกจากนี้ยังเจอปัญหาจากการรั่วไหลของน้ำมันที่โครงการ Montara ด้วย ซึ่งขณะนี้ยังปิดปัญหาไม่ได้ ทำให้คาดว่าจะต้องเลื่อนการผลิตในเชิงพาณิชย์ออกไปเป็นประมาณช่วงปลายไตรมาส 1/53 สำหรับโครงการนี้
อย่างไรก็ดี ในปี 53 คาดว่ากำไรสุทธิของ PTTEP จะกลับมาดีขึ้นเป็น 34,700 ล้านบาท ซึ่งคงจะรับผลจากปริมาณการขายที่ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายของปริมาณการขายที่ 300,000 บาร์เรล/วัน
น.ส.รัศดา ทวีแสงสกุลไทย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้แนะนำ"ซื้อ"หุ้น PTTEP มาจากราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวขึ้น และปริมาณการขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้น โดยให้ราคาเป้าหมายของปี 53 ที่ 187 บาท/หุ้น โดยคาดว่าปี 53 ราคาน้ำมันตลาดดูไบเฉลี่ยในปีหน้าอยู่ที่ 65 เหรียญฯ/บาร์เรล และปริมาณการขายปิโตรเลียมของ PTTEP อยู่ที่ 300,000 บาร์เรล/วัน
PTTEP ตั้งเป้าหมายปี 52 ไว้ที่ 240,000 บาร์เรล/วัน แม้ขณะนี้ปริมาณการขายจะมีแค่ 230,000 บาร์เรล/วัน แต่คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถทำปริมาณการขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ที่ 30,000 ล้านบาท รวมการหักค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหลของน้ำมันที่โครงการ Montara แต่หากไม่รวมก็คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 32,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 41,675 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้วราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง
ส่วนปี 53 คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 42,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ตามคาดการณ์ปริมาณการขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นและราคาน้ำมันก็น่าจะสูงขึ้นด้วย