โบรกเกอร์ พร้อมใจแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)คาดการณ์ผลกำไรในไตรมาส 3/52 จะออกมาดีและอาจจะสูงสุดในรอบปีที่ 6.2-7.0 พันล้านบาท จากธุรกิจปิโตรเคมีที่สเปรดทรงตัวในระดับสูงและธุรกิจปูนซีเมนต์ฟื้นตัวดันกำไรเพิ่ม ทั้งนี้ บริษัทจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/52 ในวันที่ 28 ต.ค.นี้
รวมทั้งมองปีหน้ารายได้และกำไรของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว แม้ว่าสเปรดปีหน้าคาดว่าจะต่ำกว่าปีนี้แต่คงลดลงไม่มาก ส่วนปัญหาศาลสั่งระงับโครงการมาบตาพุดเป็นปัจจัยลบช่วงสั้น เชื่อว่าจะคลี่คลายได้ในเร็วๆนี้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.บัวหลวง ซื้อ 300 บล.ทิสโก้ ซื้อ 289 บล.ธนชาต ซื้อ 280 บล.เคจีไอ ซื้อ 268 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 265 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 260 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 240
นักวิเคราะห์จากบล.ทรีนิตี้ มองเชิงบวกกับหุ้น SCC เนื่องจากมองไปข้างหน้ามากว่าว่าจะมีการเติบโตในอนาคต เนื่องจากกำลังการผลิตจะเพิ่มเท่าตัวในปีหน้า แต่ช่วงสั้นน่าจะรับแรงกดดันจากปัญหาโครงการลงทุนในมาบตาพุด แต่ SCC ได้เตรียมการจัดทำการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ(HIA)ซึ่งน่าจะเสร็จได้ช่วงม.ค.53 หรือ มี.ค.53 ซึ่งก็ยังทันกับโครงการใหม่ที่จะเปิดดำเนินการในปลายไตรมาส 2/53
ส่วนในกำไรในไตรมาส 3/52 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.3 พันล้านบาท ลดลง 8%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 6%YoY มาจากส่วนต่างราคาปิโตรเคมี(สปรด)เฉลี่ยในไตรมาส 3/52 ทรงตัวอยู่ที่ระดับสูงประมาณ 650-670 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในไตรมาส 2/52 แต่ไตรมาส 4/52 คาดว่ากำไรจะอ่อนตัวลงมาที่ประมาณ 5 พันล้านบาทเนื่องจากสเปรดลดลง แต่ทั้งปีมองว่า ส่วนต่างราคา HDPE-Naphtha เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 650 เหรียญ/ตัน
"มองว่าสเปรดในไตรมาส 4 จะลดลง ไม่ต้องรีบซื้อ(หุ้น SCC)เพราะผลประกอบการในไตรมาส 4 น่าจะอ่อนตัวลงมา ค่อยเข้าไปซื้อราคาอ่อนตัวต่ำกว่า 200 บาท แล้วว่ากัน"นักวิเคราะห์ กล่าว
บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง มองว่า ประเด็นสิ่งแวดล้อมที่มาบตาพุดอาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อ SCC แต่พื้นฐานบริษัทยังคงแข็งแกร่งและผลกระทบต่อกำไรจะมีเพียงเล็กน้อย แนวโน้มกำไรของบริษัทยังคงยอดเยี่ยมด้วยการขยายตัว YoY นับตั้งแต่ไตรมาส 3/52 ยาวไปตลอดปี 52
ทั้งนี้ คาดว่า SCC จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/52 ที่ 6.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% YoY ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 4/50 ที่มีการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน มาจากธุรกิจปิโตรเคมี และ ธุรกิจปูนซีเมนต์ ที่ดีขึ้น ส่วนธุรกิจกระดาษทรงตัว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 52 เป็นช่วงไฮซีซั่นของอุปสงค์จากจีนและความล่าช้าของการเปิดดำเนินงานโรงผลิตใหม่ของคู่แข่ง ส่งผลให้ส่วนต่างราคาเฉลี่ยของ HDPE และ PP กับแนฟทาในไตรมาส 3/52 ยังคงยืนอยู่ที่ 719 เหรียญ/ตัน และ 651 เหรียญ/ตัน ตามลำดับ ซึ่งทรงตัว QoQ แม้ในช่วงวันหยุดยาวของประเทศจีนจะทำให้ส่วนต่างราคาจะปรับลดลงต่ำกว่า 600 เหรียญ/ตัน แต่เรายังคงคาดว่า EBITDA ของธุรกิจปิโตรเคมีในไตรมาส 4/52 จะขยายตัวได้ดีจากปีที่แล้ว เนื่องจากฐานที่ค่อนข้างต่ำ
เช่นเดียวกับ บทวิเคราะห์ของบล.ธนชาต มองว่า ถึงแม้จะมีความไม่แน่นอนในเรื่องมาบตาพุด และการลดลงของส่วนต่างของปิโตรเคมีในปัจจุบัน แต่ SCC ยังคงเป็น Top Pick ของเรา เนื่องจากแม้ว่ากำลังการผลิตใหม่จะล่าช้าไปปลายปี 53 แต่โครงการไม่น่าจะล่าช้าออกไปมากนัก ดังนั้น กำไรจึงน่าจะเป็นไปตามคาด และตลาดคาดไว้อยู่แล้วว่า petrochemical spread จะเริ่มหดตัวลงในช่วงไตรมาส 4/52
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการฟื้นตัวของกลุ่มซีเมนต์ และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากโอเลฟินส์แครกเกอร์(เพิ่มขึ้น 100%) จะสามารถชดเชย petrochemical spread ที่หดตัวลงได้ และน่าจะทำให้กำไรเติบโต 18%yoy ในปี 53
ส่วนในไตรมาส 3/52 มองว่าเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นสำหรับราคาหุ้น โดยคาดว่าบริษัทจะประกาศกำไรราว 7 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.4 QoQ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะแตะระดับสูงสุดในรอบปี โดยเป็นผลจากธุรกิจปิโตรเคมีและปูนซีเมนต์ผลักดันกำไรในไตรมาสนี้