นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่าแนวโน้มกำไรในปี 52 น่าจะดีขึ้นกว่าปีก่อน จากตัวเลขกำไรในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในไตรมาส 3/52 เพราะธนาคารไม่มีผลขาดทุนจากตราสาร CDO เช่นเดียวกับปีก่อน และ มีกำไรจากการลงทุนหรือซื้อกิจการ
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือน มีกำไร 4.96 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จาก 4.05 พันล้านบาทในงวดเดียวกัน ส่วนปี 51 ธนาคารมีกำไร 4.9 พันล้านบาท
นอกจากนี้ในไตรมาส 4/52 ซึ่งบริษัทคาดว่ากระบวนการซื้อพอร์ตของ GE Money จะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 52 จากก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าซื้อพอร์ตสินเชื่อของกลุ่ม AIG ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยในไตรมาส 3/52 NIM สูงขึ้นเป็น 4.24% จาก 3.98% ในไตรมาส 2/52 และ 3.65% ในไตรมาส 1/52 โดยในช่วง 9 เดือน NIM เฉลี่ยอยู่ที่ 3.87% และเชื่อว่าทั้งปี NIM จะได้สูงกว่า 4% ส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ปีนี้คาดว่าจะอยู่เหนือ 14% หลังจากเข้าซื้อกิจการกระทบไป 1.2% โดยสิ้นก.ย.52 BIS อยู่ที่ 15.62%
รวมทั้ง การเติบโตของสินเชื่อปีนี้ธนาคารก็ยังเชื่อมั่นว่าจะเติบโต 6% สวนภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นการเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ หรือป็นการเติบโตจากภายนอก ขณะที่หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ทยอยปรับลดลงจากไตรมาส 1/52 และ ไตรมาส 2/52 อยู่ที่ 9.0-9.1%ตามลำดับ ลดลงมาที่ 8.8%ในไตรมาส 3/52 และ เชื่อว่าถึงสิ้นปี ตัวเลข NPL จะดีขึ้น และสัดส่วนจะต่ำกว่าในไตรมาส 3/52
"การที่เราเข้าซื้อสินเชื่อรายย่อยเพิ่ม ช่วยทำให้ NIM มีการเติบโตดีทุกๆไตรมาส และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยหรือรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 15% ส่วน NPL เราก็ทำได้ค่อนข้างดี แม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยและกังวลสุขภาพของสินเชื่อของธนาคารดูแล้วทั้งระบบทรงตัว ส่วนของเราอยู่ที่ 8.8% (สิ้นก.ย.) เราก็เชื่อว่าตัวเลขจะดีขึ้น และ Coverage ratio (อัตราส่วนสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้)เพิ่มสูงขึ้นเป็น 68%" นายตัน กล่าว
อนึ่ง ในปี 52 BAY ได้เข้าซื้อกิจการ 3 แห่ง ได้แก่ สินเชื่อจากกลุ่ม AIG (AIGRB กับ AIGCC) ในเม.ย., บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส (CFSGS) จาก AIG ในเดือน ก.ย. และ พอร์ตสินเชื่อของ GE Money Thailand ซึ่งจะทำให้ BAY ก้าวขึ้นมาเป็ฯผู้นำธุรกิจบัตรเครดิต
*คาดสินเชื่อปี 53 โต 1.5 เท่าของ GDP
นายตัน กล่าวว่า ในปี 53 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าของ GDP ในปีหน้าที่ธนาคารคาดว่าจะขยายตัว 3% โดยคาดว่าสินเชื่อรายย่อยจะเติบโตเพิ่มมากที่สุด และสินเชื่อเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้มีวงเงินพร้อมเบิกจ่ายแล้ว คาดว่าจะเริ่มมีการเบิกจ่ายในไตรมาส 4/52 ส่วนสินเชื่อ corporate ก็เติบโตด้วย และคาดว่าจะมีการออกหุ้นกู้จำนวนมาก
ทั้งนี บริษัทได้วางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันมีอยู่ 36% และจะเพิ่มเป็น 42% หลังรวม GE Money ขณะเดียวกันก็วางเป้าจะเพิ่มอัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ 20% จากปัจจุบันที 10% (สิ้นก.ย.52)
นายตันมองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกและในประเทศเติบโต ส่งผลดีต่อการส่งออก และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยธนาคารจะปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/53 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดจะปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีหน้า แต่ก็ยังใส่ใจคุณภาพสินทรัพย์ไม่ให้เกิดสภาพฟองสบู่ หรือการลงทุนเกินตัว
"ธนาคารจะเน้น เรื่อง profitability , asset quality และการปล่อยสินเชื่อที่ระวังความเสี่ยง ....ส่วน ROE เราตั้งเป้าหมายไว้สูงที่ 20% เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำงานของเรา การที่เรามีส่วนผู้ถือหุ้นสูงเพื่อต้องการให้เกิดความมั่นคง" นายตัน กล่าว
ปัจจุบัน กลุ่มจีอีถือหุ้นใหญ่ใน BAY สัดส่วน 33% และ กลุ่มรัตนรักษ์ ถือ 25%