บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. บางจากปิโตรเลียม (BCP) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Positive" หรือ “บวก" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท ตลอดจนงบดุลที่อยู่ในระดับดี และการสนับสนุนจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น ตลอดจนอุปสงค์ของน้ำมันสำเร็จรูปที่ลดลงด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive" หรือ “บวก" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าหน่วยแตกโมเลกุล (Hydrocracking Unit) ชุดใหม่ของบริษัทจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นที่มีอยู่และเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงให้แก่บริษัท ในขณะที่กระบวนการกลั่นน้ำมันดิบที่มีความยืดหยุ่นจากการมีหน่วยกลั่น 2 หน่วยจะช่วยเพิ่มทางเลือกแก่บริษัทเพื่อให้ได้รับค่าการกลั่นที่ดีที่สุดและจะช่วยบรรเทาผลกระทบในช่วงที่อุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันซบเซาได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบางจากปิโตรเลียมก่อตั้งในปี 2528 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันขนาด 120,000 บาร์เรลต่อวันซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันประมาณ 1,000 สถานีภายใต้เครื่องหมายการค้า “บางจาก" ด้วย การเพิ่มทุนครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 ทำให้ ปตท. กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2552 ผู้ถือหุ้นของบริษัทประกอบด้วย ปตท. 29.7% กระทรวงการคลัง 11.2% และส่วนที่เหลืออีก 59.1% ถือโดยนักลงทุนทั่วไป เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเป็นโรงกลั่นแบบพื้นฐาน (Simple Refinery) บริษัทจึงมีผลผลิตน้ำมันเตาซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำในสัดส่วนที่สูงกว่าโรงกลั่นน้ำมันแบบซับซ้อน (Complex Refinery) สัดส่วนน้ำมันสำเร็จรูปโดยเฉลี่ยจากโรงกลั่นของบริษัทในช่วงปี 2548-2552 ประกอบด้วย น้ำมันดีเซล 35% น้ำมันเตา 32% น้ำมันเบนซิน 17% และผลิตภัณฑ์อื่นอีก 16%
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าผลประกอบการของบริษัทบางจากปิโตรเลียมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราการใช้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นจาก 48% ในปี 2549 เป็น 69% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เนื่องจากบริษัทสามารถส่งออกน้ำมันเตาชนิดพิเศษไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่น ในขณะที่ปัจจุบันบริษัทสามารถจัดหาน้ำมันดิบภายในประเทศที่มีราคาถูกในสัดส่วนที่สูงขึ้น การจำหน่ายน้ำมันเตาชนิดพิเศษในราคาที่สูงและผลกำไรจำนวนมากจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้าส่งผลให้บริษัทมีค่าการกลั่นรวมสูงถึง 13.08 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งแรกของปี 2552
นอกจากนี้ ค่าการตลาด (Marketing Margin) ของบริษัทก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2551 ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2552 หลังจากติดลบในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 การที่บริษัทสามารถปรับราคาขายปลีกได้ตามราคาหน้าโรงกลั่นส่งผลให้ค่าการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.64 บาทต่อลิตรในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เมื่อรวมผลประกอบการของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันเข้ากับธุรกิจการตลาดแล้ว บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 7,094 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 จาก 4,384 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2551
โครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นและเพิ่มค่าการกลั่นของบริษัท ทั้งนี้ โรงกลั่นของบริษัทจะสามารถกลั่นน้ำมันดิบได้หลากหลายประเภทยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นและมีกำมะถันสูง โดยคาดว่าโรงกลั่นจะสามารถเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซินและน้ำมันชนิดกลางจากปัจจุบันที่ระดับ 64% ได้เป็น 82% นอกจากนี้ หน่วยกลั่นน้ำมันดิบทั้ง 2 หน่วยขนาด 80,000 และ 40,000 บาร์เรลต่อวันอาจช่วยให้บริษัทมีค่าการกลั่นที่ดีขึ้น โดยบริษัทอาจใช้หน่วยกลั่นขนาด 80,000 บาร์เรลต่อวันในการกลั่นน้ำมันแบบซับซ้อนเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซินและน้ำมันชนิดกลางในปริมาณที่สูงขึ้น ในขณะที่หน่วยกลั่นขนาด 40,000 บาร์เรลต่อวันอาจกลั่นน้ำมันดิบโดยกระบวนการแบบพื้นฐานเพื่อเน้นการผลิตน้ำมันเตาคุณภาพพิเศษ (กำมะถันต่ำ) สำหรับการส่งออก
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทบางจากปิโตรเลียมว่ายังคงอยู่ในระดับที่ดีด้วยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ระดับ 42.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 โดยการก่อสร้างหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันและโรงงานไบโอดีเซลแล้วเสร็จและพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2552 ส่วนค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ในระดับปานกลาง และบริษัทน่าจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้คงอยู่ที่ระดับ 40%-45%
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังกล่าวด้วยว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวส่งผลให้อุปสงค์ของน้ำมันสำเร็จรูปลดลง ในขณะที่กำลังการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2552-2554 อาจนำไปสู่อุปทานส่วนเกินในภูมิภาคซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อค่าการกลั่นได้
ในวันเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังประกาศคงอันดับเครดิตระดับ "AA" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" ให้แก่ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 4,000 ล้านบาท (BCP141A) ของบริษัทบางจากปิโตรเลียมซึ่งออกโดย บริษัท สยามดีอาร์ จำกัด ด้วย โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงปัจจัยสนับสนุนในรูปของการรับประกันต้นเงินโดยกระทรวงการคลังในการซื้อคืนใบแสดงสิทธิในราคาที่เสนอขายครั้งแรกหากบริษัทบางจากปิโตรเลียมไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดเวลา นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงลักษณะของโครงสร้างธุรกรรมที่คุ้มครองผู้ถือใบแสดงสิทธิและคุณภาพเครดิตของบริษัทอ้างอิงคือบริษัทบางจากปิโตรเลียมด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" ของใบแสดงสิทธิดังกล่าวเป็นผลมาจากการรับประกันต้นเงินจากกระทรวงการคลังและคุณภาพเครดิตของบริษัทบางจากปิโตรเลียม