บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ฯ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF)โดยมีราคาเป้าหมายที่ 11 บาท/หุ้น โดย CPF ได้รายงานกำไรในระดับที่เหนือความคาดหมายของตลาดอีกครั้ง โดยกำไรงวด 3Q09 มีจำนวน 3.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น 122%y-y และ 18%q-q และสูงกว่าที่เรา และตลาดคาด 3% และ 11% และเนื่องจากกำไรมีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่องไปยังช่วง 1Q10 และมี dividend yield ที่ดีที่ 10%
CPF รายงานกำไรสุทธิงวด 3Q09 แข็งแกร่งที่ 4.1 พันลบ. เพิ่มขึ้น 197%y-y และ 29%q-q หากไม่รวมกำไรพิเศษจากการลงทุนจำนวน 479 ลบ. กำไรปกติจะมีจำนวน 3.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น 122%y-y และ 18%q-q
ผลการดำเนินงานออกมาสูงกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้าราว 3% มีสาเหตุจากการที่ให้สมมติฐานอัตราการเติบโตของยอดขาย และอัตรากำไรที่ต่ำเกินไป และเนื่องจาก 9M09 กำไรมีจำนวน 7.7 พันลบ. คิดเป็น 90% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา และตลาด จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรของเรา ขณะที่ตลาดมีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มประมาณการกำไรเช่นกัน
เนื่องจากบริษัทฯ มีสต๊อกข้าวโพด และถั่วเหลือง ที่มีราคาถูก และยังคงใช้ได้ถึงเดือนเม.ย. ปีหน้า จึงเชื่อว่า CPF เป็นไปได้ที่จะสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงนี้ไว้ได้ ขณะที่อัตราการเติบโตน่าจะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องไปยังช่วง 1Q10 ที่ระดับมากกว่า 300%y-y
ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 100%ytd แต่ CPF ยังคงไม่แพง โดยซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 9 เท่า และ P/BV ที่ 1.2 เท่า และต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่ 11 บาท/หุ้น ราว 11% โดยปัจจัยหลักผลักดันราคาหุ้น คือ กำไรที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งราว 300% y-y ในช่วง 4Q09-1Q10, การปรับเพิ่มประมาณการของตลาด และปันผลจ่ายงวด 2H09 จำนวน 0.5 บาท/หุ้น ซึ่งทำให้ dividend yield ทั้งปีอยู่ที่ 10%
บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา แนะ"เก็งกำไร"หุ้น CPF สะท้อนคาดการณ์ผลประกอบการใน 2-3 ไตรมาสข้างหน้าที่น่าจะออกมาดี โดย CPF มีกำไรจากการดำเนินงาน 3Q52 ดีกว่าคาด 20%
CPF รายงานกำไรสุทธิ 3Q52 เท่ากับ 4,116 ล้านบาท หากไม่รวมกำไรจากการซื้อบริษัทในไต้หวันที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม (Negative Goodwill) จำนวน 447 ล้านบาท จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 3,636 ล้านบาท (+14%QoQ และ +115%YoY) สูงกว่าคาด 20% ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ อัตรากำไรขั้นต้น และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ดีกว่าคาด สาเหตุหลักเกิดจากการเติบโตยอดขายในแทบจะทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจสัตว์น้ำและธุรกิจในต่างประเทศ ขณะเดียวกันด้วยสต็อกต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง QoQ เป็นผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจาก 19.42% สู่ระดับ 19.99% ในไตรมาสนี้
ทั้งนี้ คงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 1H53 เนื่องจากล่าสุด CPF ยังคงมีสต็อกต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาต่ำ โดยเฉพาะกากถั่วเหลืองและข้าวโพดมีสต็อกวัตถุดิบที่ใช้ไปจนถึงเดือน มิ.ย. และ ก.ย.ปี 53 ตามลำดับ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการและมูลพื้นฐาน
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่สำคัญคือทิศทางของราคากากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นพืชพลังงานที่มีโอกาสผันผวนตามราคาน้ำมันดิบหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว รวมถึงปริมาณอุปทานมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจกดดันราคาขายเฉลี่ยในปีหน้า
วานนี้(9 พ.ย.)ราคาหุ้น CPF ปิดที่ 9.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท(+2.62%)มูลค่าซื้อขาย 884.48 ล้านบาท