ทริสเรทติ้ง คงอันดับองค์กร ESSO ที่ระดับ “A+" แนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 10, 2009 17:00 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทย ตลอดจนการดำเนินกิจการที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพทั้งด้านการกลั่นน้ำมันและผลิตอะโรเมติกส์ ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่เข้มแข็ง และการสนับสนุนที่ดีจาก Exxon Mobil Corporation และบริษัทในเครือ (Exxon Mobil)

ทั้งนี้ ในการให้อันดับเครดิตยังคำนึงถึงความผันผวนในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี รวมถึงราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่มีความผันแปรสูง ตลอดจนอุปสงค์ด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่ลดลง

แนวโน้มอันดับเครดิต“Stable"หรือ“คงที่"สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่แข็งแกร่งทั้งในส่วนของผลประกอบการและการตลาดในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทยเอาไว้ได้ นอกจากนี้ยังคาดว่าบริษัทจะดำรงสภาพคล่องให้เพียงพอและดูแลให้ฐานะทางการเงินอยู่ในระดับที่ดีเพื่อให้พร้อมรองรับธรรมชาติของธุรกิจที่มีความผันผวนเช่นธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีต่อไป

ESSO เป็นบริษัทในเครือ ExxonMobil ในประเทศไทยซึ่งบริหารงานโรงกลั่นน้ำมัน 1 แห่งจากจำนวนโรงกลั่นทั้งหมด 38 แห่งที่ ExxonMobil บริหารงานอยู่ทั่วโลก ปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นของบริษัทประกอบด้วย ExxonMobil 66% กระทรวงการคลัง 7.3% และนักลงทุนทั่วไป 26.7% บริษัทประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์(Complex Refinery)ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดที่ 177,000 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 16% ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของไทย ในขณะที่มียอดขายผ่านสถานีบริการน้ำมันภายใต้ตราสัญลักษณ์ “เอสโซ่" จำนวน 2,500-3,000 ล้านลิตรต่อปีคิดเป็น 15%-18% ของยอดขายปลีกน้ำมันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ในฐานะบริษัทในเครือ บริษัทได้นำแนวปฏิบัติที่มีระเบียบวินัยสูงของ ExxonMobil มาใช้ในธุรกิจการกลั่น อีกทั้งยังนำระบบปฏิบัติการและระบบการบริหารจัดการของกลุ่มมาใช้เป็นส่วนใหญ่ด้วย และด้วยการใช้เทคโนโลยีและดำเนินตามปรัชญาของ ExxonMobil ส่งผลให้โรงกลั่นของบริษัทได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและมีหน่วยผลิตที่มีความพร้อมสูงในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากขีดความสามารถระดับโลกของ ExxonMobil ในการจัดหาน้ำมันดิบและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วย

การดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรทั้งโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานอะโรเมติกส์ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการเลือกผลิตผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าระหว่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้าเพื่อการกลั่นของบริษัทอยู่ที่ 140.6 พันบาร์เรลต่อวัน ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปี 2551 เนื่องจากการอ่อนตัวของความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสำคัญ บริษัทมีค่าการกลั่นที่ 10.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับ 15.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงเดียวกันของปี 2551

โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยที่ 79.4% ส่วนการผลิตพาราไซลีนก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 199,000 ตันต่อปี คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 13.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นหลัก ณ เดือนมิถุนายน 2552 บริษัทมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันภายใต้ตราสัญลักษณ์ “เอสโซ่" ทั้งสิ้น 542 แห่งซึ่งช่วยให้บริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่หลากหลายและยืดหยุ่น โดยการจัดจำหน่ายผ่านสถานีบริการคิดเป็นสัดส่วน 36% ที่เหลือผ่านช่องทางอื่นๆ ภายในประเทศ 45% และส่งออก 19%

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 บริษัทมียอดขาย 75,790 ล้านบาท ลดลง 37.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 จากการที่ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง โดยยอดขาย 90% มาจากธุรกิจกลั่นและจัดจำหน่ายน้ำมัน ส่วนอีก 10% มาจากธุรกิจปิโตรเคมี การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบดูไบจากระดับ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเมื่อเดือนธันวาคม 2551 เป็นราคาเฉลี่ยที่ 51.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ทำให้บริษัทมีค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นจาก -2.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2551 เป็น 10.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งแรกของปี 2552

ฐานะทางการเงินของ ESSO ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยบริษัทมีเงินกู้รวมลดลงจาก 27,971 ล้านบาทในปี 2551 เป็น 23,724 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2552 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจาก 57.8% ในปี 2551 เป็น 47.87% ณ เดือนมิถุนายน 2552 ด้วยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเฉลี่ยปีละ 8,000-10,000 ล้านบาททำให้บริษัทมีความต้องการใช้เงินกู้จากภายนอกไม่มากนักสำหรับการลงทุนในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงให้ได้ตามมาตรฐานใหม่ (Euro IV) และจ่ายชำระเงินกู้ประจำปี

ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนมูลค่า 54,000 ล้านบาทที่ได้จาก ExxonMobil ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นและมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งพอที่จะรองรับภาวะวงจรขาลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ