บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (Short-term National Rating) ของโปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินอายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งสามารถออกหมุนเวียนใหม่ได้ มูลค่าไม่เกิน 8 พันล้านบาทของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘F1(tha)’
อันดับเครดิตสะท้อนถึงโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทฯ ที่มีศักยภาพและความสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ความได้เปรียบในการจัดหาน้ำมันดิบและวัตถุดิบ และต้นทุนการกลั่นที่ต่ำ รวมถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า “เอสโซ่" (ESSO) ที่มีชื่อเสียงอันยาวนานในประเทศไทย การที่หน่วยผลิตมีการประสานเชื่อมโยงกันกับการผลิตพาราไซลีนเป็นการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้สายการผลิตมีการใช้ประโยชน์สูงสุด และยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดความผันผวนของรายได้จากการกลั่นน้ำมันอีกด้วย
นอกจากนี้อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการได้รับสนับสนุนในด้านการดำเนินธุรกิจและการเงินจาก เอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่นและบริษัทในเครือ ซึ่งฟิทช์ได้จัดอันดับเครดิตสากลของเอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่น ระยะยาวที่ระดับ ‘AAA’ และระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
กลุ่มเอ็กซอน โมบิล เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดยกรรมการ 7 ท่าน ในคณะกรรมการของบริษัทฯทั้งหมด 12 ท่าน มาจากกลุ่มเอ็กซอนโมบิล ในขณะที่ 4 ท่าน เป็นกรรมการอิสระ กลุ่มเอ็กซอน โมบิล ยังสนับสนุนบุคลากรมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัทฯอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้รับประโยชน์จากการใช้เครือข่ายที่มีอยู่ทั่วโลกของเอ็กซอนโมบิล ในการจัดหาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และสามารถใช้ประโยชน์จากการบริการด้านเทคโนโลยี การบริการด้านวิศวกรรม ทรัพยากรบุคคล และการวิจัยและพัฒนาของเอ็กซอนโมบิล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ
ความแข็งแกร่งของอันดับเครดิตของบริษัทฯ ถูกลดทอนโดยความเสี่ยงจากความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมันดิบ ค่าการกลั่น ตลอดจนวัฐจักรของธุรกิจพาราไซลีน บริษัทฯ ยังมีความเสี่ยงจากการที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาแหล่งน้ำมันดิบจากต่างประเทศ (แม้ว่าความเสี่ยงดังกล่าวได้รับการลดทอนลงจากการที่ เอ็กซอนโมบิล มีเครือข่ายทั่วโลก ในการจัดหาน้ำมันดิบ) และความเสี่ยงจากการที่มีโรงกลั่นน้ำมันเพียงแห่งเดียว (Single-Site)
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ แข็งแกร่งขึ้นในครึ่งปีแรกของปี 2552 หลังจากที่มีผลประกอบการที่อ่อนแอในปี 2551 บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า(EBITDAR)ในครึ่งปีแรกของปี 2552 จำนวน 8.8 พันล้านบาท (ปี 2551 ทั้งปีขาดทุน 6.9 พันล้านบาท) ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในครึ่งปีแรกของปี 2552 นั้นเป็นผลมาจากกำไรจากสินค้าคงคลัง (หลังจากที่ประสบกับการขาดทุนจากสินค้าคงคลังในปี 2551) อัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และส่วนต่างระหว่างราคาขายของพาราไซลีนกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นประกอบกับการที่บริษัทฯ ไม่ได้จ่ายเงินปันผลในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 นั้น ทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 3.9 พันล้านบาท (กระแสเงินสดจากการดำเนินงานสุทธิติดลบ 2.2 พันล้านบาท ในปี 2551) ในขณะที่หนี้สินสุทธิลดลงเหลือ 23.2 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2 ของปี 2552 จาก 27.3 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2551
ฟิทช์คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลังของปี 2552 น่าจะอ่อนตัวลง โดยค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาขายของพาราไซลีนกับต้นทุนวัตถุดิบ ได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมันและพาราไซลีน ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2552 คาดว่าจะอ่อนตัวลง ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ในครึ่งปีแรกของปี 2552 น่าจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2552 ทั้งปี ให้อยู่ในระดับที่ดีได้
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่าธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีน่าจะเผชิญกับภาวะการดำเนินธุรกิจที่ท้าทายในปี 2553 เนื่องจากกำลังการผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นน่าจะเป็นปัจจัยลบที่สำคัญในการบั่นทอนภาวะอุตสาหกรรม ในขณะที่แนวโน้มปริมาณความต้องการยังน่าจะอ่อนแออยู่ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงนั้นน่าจะถูกบรรเทาได้บางส่วนจากการที่บริษัทฯ มีการบริหารต้นทุนอย่างมีวินัยอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
บริษัทฯ และบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้อง เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของเอ็กซอน โมบิล เพื่อดำเนินธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมัน และธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2508 โดยบริษัทฯได้เติบโตจนกลายเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจการกลั่นและการตลาดน้ำมันในประเทศไทย โดยมีการประสานเชื่อมโยงกันกับการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี บริษัทฯมีกำลังการกลั่นน้ำมันใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ (นับเฉพาะกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ) โดยมีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 177,000 บาร์เรลต่อวัน และมีกำลังการผลิตพาราไซลีนใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศที่ระดับ 500,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจด้านน้ำมันหล่อลื่น สารละลาย และสารพลาสติก แต่กำไรจากการดำเนินงานจากธุรกิจเหล่านี้ คิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมดของบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นประกอบด้วยกลุ่มเอ็กซอนโมบิล ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 66 กระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละ 7.3 และส่วนที่เหลือถือโดยนักลงทุนทั่วไป