โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หรือ"ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว"หุ้น บมจ.ช.การช่าง(CK)แม้ว่าในไตรมาส 3/52 จะประกาศผลขาดทุนและอัตรากำไรชั้นต้นติดลบ 0.5% นับเป็นครั้งแรกจากเดิมที่เคยทำได้ไว้กว่า 10% และคาดว่าไตรมาส 4/52 ก็ไม่ต่างจากไตรมาส 3/52 เพราะมีเพียงการรับรู้รายได้จากโครงการเก่าซึ่งใกล้จบแล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้นถูกดันระยะสั้น
แต่ปีหน้ามองว่าผลประกอบการจะดีขึ้นจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 1 ที่ได้เริ่มงานเมื่อต้น พ.ย.ที่ผ่านมา และยังมีงานใหม่ที่เตรียมตัวเข้าประมูลจำนวนมาก ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีเขียว รวมทั้งโรงไฟฟ้า SPP ด้วย
ทั้งนี้ CK รายงานไตรมาส 3/52 ขาดทุนสุทธิ 185.08 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.13 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 215.85 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.15 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.โกลเบล็ก ซื้อ 8.70 บล.เกียรตินาคิน ซื้อเมื่ออ่อนตัว 8.35 บล.กรุงศรีอยุธยา เทรดดิ้ง 6.90 บล.กิมเอ็ง ซื้อเมื่ออ่อนตัว 6.45 บล.เอเซียพลัส ถือ 6.22
นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/52 ของ CK ออกมาขาดทุนสูงถึง 185 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากยอดรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างที่ต่ำลง และอัตรากำไรขั้นต้นที่พลิกกลับเป็นติดลบ อย่างไรก็ตาม มองว่าในไตรมาส 4/52 ผลประกอบการจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญ โดยคาดว่าแนวโน้มในปีหน้ามีงานเข้ามามาก
"เราแนะนำให้ซื้อเมื่ออ่อนตัว เพราะราคาตอนนี้ใกล้เต็มมูลค่าแล้ว เชื่อว่าผลกำไรที่อออกมาจะกระทบราคาหุ้นช่วงสั้นๆ"นายสุรศักดิ์ กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า การรับรู้รายได้ของ CK ในไตรมาส 3/52 ลดลงมากเนื่องจากงานในโครงการน้ำงึม 2 ลดเหลือเพียง 600 ล้านบาทในช่วงปลายโครงการ จากที่รับรู้ฯ มากในไตรมาสแรก ประกอบกับ รายได้งานใหม่ยังไม่ได้เข้ามา จึงทำให้ในไตรมาส 3/52 เกิดผลขาดทุนและเป็นครั้งแรกที่อัตรากำไรขั้นต้นติดลบ 0.5% ซึ่งปกติบริษัทจะมีอัตรากำไรขั้นต้นระดับ 10% และมองแนวโน้มในไตรมาส 4/52 ก็ยังขาดทุนต่อเนื่อง
แต่ในไตรมาสนี้บริษัทยังมีส่วนแบ่งรายได้และกำไรจาก บมจ.น้ำประปาไทย(TTW)ที่เติบโตมาก และได้รับเงินผันผลจาก บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ(BECL)
อย่างไรก็ตาม มองแนวโน้มปีหน้าจะดีขึ้น โดยเฉพาะจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 ที่บริษัทเริ่มงานเมื่อ 1 พ.ย.52 และมีโอกาสได้รับงานใหม่ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีน้ำเงิน นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าบางปะอิน มูลค่า 4 พันล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาในสิ้นปีนี้
"เราแนะนำให้ถือ มองผลประกอบการปีหน้าน่าจะดีขึ้น คือ ถ้าราคาหลุด 6 บาท ก็น่าเข้าซื้อเก็งกำไร"นักวิเคราะห์ กล่าว
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก คาดผลประกอบการไตรมาส 4/52 โดยรวมยังไม่ดีขึ้น โดย CK มี Backlog ยกมาหลังจากหักรายได้ที่รับรู้ฯ ในไตรมาส 3/52 ประมาณ 14,810 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นงานที่เซ็นสัญญาในครึ่งปีหลัง และกว่า 68% เป็นมูลค่างานก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการ ดังนั้น การรับรู้รายได้ของ CK ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จึงไม่น่าจะแตกต่างจากไตรมาส 3/52 คือการบันทึกรายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากโครงการเดิม ๆ ที่อยู่ในช่วงปลายโครงการ
"ระยะสั้นเราคาดว่าราคาหุ้นจะถูกกดดันจากผลประกอบการไตรมาส 3/52 ที่ออกมาอย่างน่าผิดหวัง แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาวเราคาดว่าผลประกอบการจะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นจากแรงผลักดันของงานในมือที่เพิ่มขึ้นทั้งงานก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้า และงานก่อสร้างเขื่อนในประเทศลาว ดังนั้นหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพื่อรอการเติบโตของผลประกอบการในปี 53"บทวิเคราะห์ ระบุ