SCC ร่วมลงทุนสร้างโรงงานปิโตรเคมีในเวียดนาม, สรุปแหล่งเงินทุนกลางปี53

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 25, 2009 09:01 —SMS: IQ ข่าวหุ้น

บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แจ้งว่า SCC ได้มีการลงนามในกรอบความตกลง (Framework Agreement) กับ Qatar Petroleum International (QPI) เพื่อร่วมลงทุนก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมี ในทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยมีผู้ร่วมลงทุนจากประเทศเวียดนาม ได้แก่ Petrovietnam กับ Vinachem ในสัดส่วนร้อยละ 29 ในขณะที่อีกร้อยละ 71% ที่เหลือจะเป็นผู้ร่วมทุนอื่น ประกอบด้วย SCC QPI และบริษัทการค้าต่างประเทศ ซึ่ง QPI นั้นจะสามารถจัดหาวัตถุดิบที่จะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้กับโครงการได้

สำหรับรายละเอียดต่างๆ ของโครงการนั้นจะทราบผลประมาณกลางปี 2553 โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินหาแหล่งเงิ น ทุนของโครงการ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของโครงการปิโตรเคมีและสถานการณ์ตลาดการเงินในต่างประเทศ

โครงการปิโตรเคมีนี้มีมูลค่าประมาณ 3,500-4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะผลิตผลิตภัณฑ์หลักๆ ได้แก่ 1) โอเลฟินส์กำลังการผลิต 1.4 ล้านตันต่อปี ที่มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบระหว่างแก๊ส (Ethane และ LPG) และแนฟทา 2) ผลิตภัณฑ์ Downstream (HDPE 400,000 ตันต่อปี PP 450,000 ตันต่อปี และ LLDPE 400,000 ตันต่อปี) และ 3) ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับ PVC คือ Chlor-Alkali EDC และ VCM นอกจากนี้ยังรวมถึงการก่อสร้างสาธารณูปโภค เช่น ท่าเรือ คลังสินค้า และโรงไฟฟ้าด้วย ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและทันสมัย โดยมีมาตรฐานด้านสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมระดับสากล

ในปัจจุบันประเทศเวียดนามมีประชากรประมาณ 86 ล้านคนและมีความต้องการใช้พลาสติก (PE, PP, PVC และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง) รวมกันประมาณ 1.3 ล้านตันต่อปี ซึ่งถือว่าตลาดในประเทศเวียดนามมีความน่าสนใจในการลงทุนอย่างยิ่ง โดยมีอัตราการใช้พลาสติกต่อคนค่อนข้างต่ำคือประมาณ 25 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (เปรียบเทียบกับการอัตราการใช้พลาสติกของประเทศตะวันตกซึ่งอยู่ ที่ 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี)

โรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ที่เกาะ Long Son ในจังหวัด Ba Ria - Vung Tau ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยจะอยู่ติดกับโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 3 ของประเทศเวียดนามเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในการปฏิบัติงาน และอยู่ ใกล้กับตลาดเวียดนามทางตอนใต้ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญ (เพียง 100 กิโลเมตรจาก โฮจิมินห์ซิตี้) นอกจากนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ ร่วมกั นกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สำคัญของเวียดนามหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค และอลูมิเนียม ซึ่งจะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ