หุ้น SCC ราคาวิ่งขึ้น 2.75% มาอยู่ที่ 224 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท มูลค่าซื้อขาย 548.72 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.47 น. โดยเปิดตลาดที่ 219 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 226 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 219 บาท
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)ยังคงแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)โดยมีราคาเป้าหมายด้วยวิธี sum-of-the-part ในปี 2553 ที่ 268 บาท
SCC ได้ประกาศว่ามีการลงนามในกรอบความตกลงกับ Qatar Petroleum International (QPI) เพื่อลงทุนในโรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่ในภาคใต้ของเวียดนาม โดยผู้ถือหุ้นของโครงการดังกล่าวประกอบด้วยหุ้นส่วนชาวเวียดนาม 29% (Vietnam Oil and Gas Group (Petrovietnam) และ Vietnam National Chemical Corporation (Vinachem)) ในขณะที่ส่วนที่เหลืออีก 71% จะถือโดยหุ้นส่วนอื่น (SCC, QPI, และ บริษัทการค้าต่างประเทศ) คาดว่ามูลค่าโครงการดังกล่าวจะอยู่ที่ 3.5-4.0 พันล้านเหรียญ
โดยโรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่ดังกล่าวจะประกอบด้วยโอเลฟินส์กำลังการผลิต 1.4 ล้านตัน (สามารถผลิตได้ทั้งจากก๊าซและนาฟต้า) ผลิตภัณฑ์ downstream กำลังการผลิต 1.25 ล้านตัน (HDPE, PP, และ LLDPE) ผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องกับ PVC (Chlor-Alkali, EDC และ VCM) และระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ประกอบด้วยท่าเรือ คลังสินค้า และโรงไฟฟ้า ซึ่งโครงการดังกล่าวจะตั้งอยู่บนเกาะ Long Son ในภาคใต้ของเวียดนาม ใกล้กับโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 3 ของเวียดนาม อนึ่ง บริษัทฯ จะเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับโรงงานปิโตรเคมีดังกล่าวในช่วงกลางปี 2553
ทั้งนี้ ได้มีมุมมองเชิงบวกต่อความคืบหน้าโครงการ โดยมั่นใจเกี่ยวกับข้อมูลเพิ่มเติมในด้านการลงทุน โดยหุ้นส่วนใหม่จะช่วยสนับสนุนโครงการดังกล่าว เนื่องจาก QPI จะสามารถช่วยจัดหาวัตถุดิบ ในขณะที่บริษัทการค้าต่างประเทศจะมีส่วนช่วยในการกระจายสินค้า นอกจากนี้ เมื่อมีทางเลือกให้ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบได้ ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยเสริมโครงสร้างต้นทุนของโครงการให้สามารถแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น เมื่อประกอบกับการพิจารณาส่วนการลงทุนที่ลดลงของ SCC ในโครงการดังกล่าว จะช่วยลดความกังวลของตลาดที่ว่า SCC จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมากเกินไปในระยะยาว
หากบริษัทฯ สามารถสรุปรายละเอียดของโครงการได้ในกลางปี 2553 SCC จะเริ่มการลงทุนดังกล่าวในปี 2544 เป็นต้นไป ทั้งนี้ จากเป้าหมายสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 1.5x SCC ต้องลงทุน 2-3 พันล้านบาทต่อปีในโครงการดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯ ไม่มีปัญหากับจำนวนเงินลงทุนนี้ เนื่องจากเงินลงทุนจำนวนมากสำหรับแผนลงทุนของ SCC ในปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในปี 2553 และเงินลงทุนสำหรับโครงการในเวียดนามดูไม่มากนัก เมื่อเทียบกับงบการลงทุนในปัจจุบันที่ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อปี
จากสัดส่วนการลงทุนของ SCC ที่ลดลงและการเลื่อนแผนการเปิดดำเนินงานโครงการดังกล่าว ทำให้มองว่ามูลค่าเพิ่มจากโครงการใหม่อยู่ที่ 7.0-11.0 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือน มี.ค.2551 อยู่ที่ 23.60 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวมเอามูลค่าเพิ่มดังกล่าวไว้ในราคาเป้าหมาย จนกว่ารายละเอียดของโครงการดังกล่าวจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น