แหล่งข่าวจาก บมจ.กุลธรเคอร์บี้ (KKC)ตั้งเป้ายอดขายรวมปี 53 เติบโตได้กว่า 10% แตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นและเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของยอดขายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดว่าในปี 52 จะทำยอดขายได้ราว 8.5 พันล้านบาท ขณะที่การทำกำไรอยู่ในระดับที่ดี เป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบสำคัญ คือ ทองแดงและเหล็ก ปรับตัวลดลงจากปีก่อน
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ลงทุนราว 300 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 5 แสนยูนิต/ปี จากกำลังการผลิต 2.5 ล้านยูนิต/ปีในปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 3 ล้านยูนิตในปี 53
แหล่งข่าว กล่าวว่า หากในปีหน้าไม่มีภาวะความผันผวนเรื่องค่าเงินและต้นทุนวัตถุดิบ ก็เชื่อว่าผลกำไรจะออกมาดีกว่าปีนี้ เนื่องจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น มีกิจกรรมลดต้นทุน และมีการปรับปรุงศักยภาพในการแข่งขันทางการตลาดโดยตลอด ขณะที่ในปีนี้ยังสามารถรักษาอัตรากำไรที่ดีได้ เห็นได้จากงวด 9 เดือนมีกำไร 166 ล้านบาทแล้ว
"ดูโดยรวมภาวะเศรษฐกิจของไทยก็คิดว่าฟื้นบ้างแล้วเพียงแต่ของเราสัดส่วนการขายจะเป็นต่างประเทศ 80% ในประเทศ 20% ตอนนี้รับผลกระทบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนบ้าง เพียงแต่เราก็ต้อง fix อัตราแลกเปลี่ยนไว้"แหล่งข่าว กล่าว
*กำไร Q4/52 ไปได้สวย, ยอดขายทั้งปี 52 ลดลงเล็กน้อย แต่กำไรยังดี
แหล่งข่าว กล่าวว่า กำไรในไตรมาส 4/52 น่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3/52 มั่นใจว่าไม่มัปัญหา เพราะในส่วนของยอดขายก็พยายามขยายตลาดมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เห็นผลประกอบการที่ดีขึ้นทุกไตรมาส
อย่างไรก็ตาม ยอดขายโดยรวมทั้งปี 52 อาจจะชะลอลงเล็กน้อย แต่คงลดลงไม่ถึง 10% จากปี 51 ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่มีต่อภาพรวมอุตสาหกรรม แต่ยังเชื่อว่ากำไรทั้งปีนี้จะออกมาดีขึ้นจากปี 51 เนื่องจากความพยายามของบริษัทในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเกือบทุกภูมิภาค ทั้งเอเชียและตะวันออกกลาง ทำให้อัตรากำไร(มาร์จิ้น)ดีขึ้น
"มาร์จิ้นดีขึ้นทำให้กำไรดีขึ้นมาทุกไตรมาส ไตรมาส 4 คาดว่ายังน่าจะไปได้ดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ราคาที่เริ่มขยับก็จะเป็นสต็อกใหม่ อาจจะมี effect ไปไตรมาส 1/53" แหล่งข่าว ระบุ
อนึ่ง KKC รายงานผลกำไรไตรมาส 3/52 เพิ่มขึ้นเป็น 118 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน
แหล่งข่าว กล่าวว่า แม้กำไรอาจจะไม่ได้มากมาย แต่มาร์จินดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวดีขึ้น โดยวัตถุดิบหลักในการผลิตคอมเพรสเซอร์ ซึ่งได้แก่ เหล็กและทองแดง ราคาในปีนี้ลดลงจากปีที่แล้ว โดยเห็นได้ตั้งแต่ประมาณเดือน เม.ย.ราคาทองแดงก็เริ่มลง ขณะที่ราคาเหล็กก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของราคาทองแดงช่วงก่อนหน้านี้ที่มีความผันผวน เกิดจากการเก็งกำไรของ Hedge Fund โดยราคาทองแดงเคยขึ้นไปถึงราว 8,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน ก่อนจะร่วงลงลงมาในปีนี้ต่ำสุดอยู่ที่เกือบ 3,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน และค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาอีกแล้ว แต่ทั้งปีราคาเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 4,500 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราคาเฉลี่ยในปีก่อนที่เกือบ 6,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนราคาเหล็กนั้น ในปีนี้ราคาลดลงจากปีก่อนเฉลี่ยประมาณ 50% และขณะนี้ยังทรงตัว โดยภาวะเก็งกำไรราคาเหล็กคงหมดไปแล้ว ซึ่งหลังจาก Hedge Fund ไปแล้ว ก็มาเจอกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้สต็อกเหล็กเกินกว่าความต้องการไปมาก ฉุดให้ราคาร่วงลงมาแรง แต่ขณะนี้ก็เริ่มตีกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ไม่มากเท่าปีก่อน
"มองว่าราคาทองแดงอยู่ในทิศทางที่ขึ้นแต่ไม่แรง ขณะที่เหล็กก็ยังทรงตัวอยู่ ต้นทุนวัตถุดิบเหล็กและทองแดงราคาไม่ได้โหดร้ายเหมือนช่วงที่ผ่านมาถึงแม้จะเริ่มกลับขึ้นมาอีกบ้างแล้ว" แหล่งข่าว กล่าว