นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ รองกรรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า ขณะนี้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ กลับมาเดินเครื่องผลิตมากขึ้นส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยคาดว่าปีนี้ความต้องการจะขยายตัว 3.3% หรือ 3,573 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และปีหน้าจะขยายตัวอีก 10.6% หรือมีความต้องการเฉลี่ย 3,950 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ความต้องการก๊าซธรรมชาติในปี 53 คาดว่าการเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากปิโตรเคมี หากคดีมาบตาพุดมีความชัดเจน โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงที่ 6 กับโรงแยกอีเทน สามารถเดินเครื่องได้ในต้นปี 53 และคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว ทำให้เกิดความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นมากในอุตสาหกรรมและเอ็นจีวีด้วย โดยความต้องการจะเพิ่มเป็น 49% ในปิโตรเคมี, 16% ในภาคอุตสาหกรรม และ 38% ในเอ็นจีวี
ขณะที่ภาคการผลิตไฟฟ้าจะลดลง 2% เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว เพิ่มขึ้น โดยโครงการเขื่อนน้ำเทิน 2 จะเข้าระบบในปีหน้า
สำหรับการใช้ก๊าซธรรมชาติในปี 52 ส่วนใหญ่ 68.8% ใช้ในภาคผลิตไฟฟ้า รองลงมาคือ ปิโตรเคมี 16.9% ภาคอุตสาหกรรม10.3% และเอ็นจีวี 3.7% โดยเอ็นจีวีเติบโตถึง 75% หรือเพิ่มเป็น 133 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน จากปี 51 มีอัตราเพียงวันละ 76 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ในด้านการจัดหา ปตท.จะมีการรับก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากแหล่งเจดีเอ แหล่งยูโนแคล 2 และ 3 ส่วนการป้องกันผลกระทบจากการจัดส่งก๊าซนั้น ปตท.ได้สำรวจท่อก๊าซทั่วประเทศ รวมทั้งจัดทำแผนเตือนภัยหากเกิดปัญหาต่างๆ โดยยืนยันว่า หากเกิดปัญหา ปตท.จะจัดหาเชื้อเพลิงทดแทนไม่ให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับอย่างแน่นอน