โบรกเกอร์ เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปตท.(PTT)จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีและคาดกำไรขยายตัวดีในปีหน้า(53)อีกทั้งราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น อีกทั้ง ราคาหุ้นในปัจจุบันยัง undervalue เมื่อเทียบกับตลาดฯ จากความกังวลคดีมาบตาพุดกดดันอยู่ ขณะที่ศาลปกครองนัดฟังกรณีขออุทธรณ์คำสั่งระงับโครงการลงทุนมาบตาพุดในวันนี้(2 ธ.ค.)ก็มีความหวังในแง่ดีว่าจะมีช่องทางให้โปรเจ็คต์ต่างๆ ของทั้งเครืออาจจะเดินหน้าต่อไปได้บ้าง และหากกรณีมาบตาพุดคลี่คลายก็จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป แต่ก็จะต้องระวังแรง sell on fact ช่วงสั้นระหว่างเทรดด้วย
ทั้งนี้ โบรกฯได้คาดการณ์กำไรสุทธิของ PTT ในปี 52 ในช่วง 54,661-60,000 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 51,705 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้วมี stock loss ในส่วนของโรงกลั่นมาก แต่ปีนี้ไม่มี
ส่วนปี 53 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ในช่วง 75,400-79,932 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้ง PTT และบริษัทลูdก็ได้มีการขยายกำลังการผลิตอีกด้วย
ล่าสุดเมื่อเวลา 11.22 น.ราคาหุ้น PTT อยู่ที่ 237 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 722.96 ล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.พัฒนสิน ซื้อ 345 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 339 บล.นครหลวงไทย ซื้อ 319 บล.บีฟิท ซื้อ 288 บล.ทิสโก้ ซื้อ 288 บล.ไทยพาณิชย์ ซื้อ 363 บล.เคที ซีมิโก้ ซื้อ 280 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 320 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 316.34 บล.ธนชาต ซื้อ 330 บล.ภัทร ซื้อ 290 บล.ดีบีเอส(ประเทศไทย) ซื้อ 306 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ซื้อ 297 บล.ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 320 บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) ซื้อเมื่ออ่อนตัว 318 บล.ยูไนเต็ด ซื้อลงทุน 320 บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) Neutral 275
นายวิจิตร กุลเดชคุณา นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) มองว่า หุ้น PTT ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีอยู่ และคาดว่ากำไรขยายตัวได้ดีในปี 53 อีกทั้งราคาน้ำมันดิบก็มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอยู่
สำหรับกรณีปัญหามาบตาพุดที่ศาลปกครองได้นัดฟังกรณีขออุทธรณ์คำสั่งระงับโครงการลงทุนมาบตาพุดในวันนี้(2 ธ.ค.)ก็มีความหวังว่าจะมีแนวโน้มที่ดี โดยหวังว่าโปรเจ็คต์อาจจะเดินหน้าต่อไปได้บ้าง คงจะไม่สั่งให้หยุดไปเลย แต่ถ้าผลการตัดสินออกมาเป็นลบ ก็คงจะต้องมีการพิจารณากันอีกทีว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ ได้คาดการณ์กำไรสุทธิของ PTT ปี 52 ไว้ที่ 59,900 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 51,705 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้วมี stock loss ในส่วนของโรงกลั่นมาก แต่ปีนี้ไม่มี ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 75,400 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้ง PTT และบริษัทลูก ก็ได้มีการขยายกำลังการผลิตอีกด้วย
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ราคาหุ้น PTT ปัจจุบันยัง undervalue เมื่อเทียบกับตลาดฯ เป็นผลจากความกังวลในเรื่องของมาบตาพุด แต่หากวันนี้ผลการตัดสินของศาลปกครองออกมาในเชิงบวกก็จะทำให้ประเด็นนี้คลี่คลายไปได้ และราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นมา แต่ระหว่างเทรดอาจจะมีแรง sell on fact อยู่ด้วยในช่วงสั้นจึงจะต้องระวัง
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ของ PTT ไว้ที่ 54,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 51,705 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้วมี Stock Loss จากโรงกลั่นมาก ส่วนปี 53 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 79,932 ล้านบาท เนื่องจากรับผลดีทั้งตัว PTT และบริษัทลูก
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทฯได้ประเมินหุ้น PTT เป็น Neutral ด้วยราคาเป้าหมายที่ 275 บาท/หุ้น ซึ่งได้มีการปรับลดประมาณการจากกรณีปัญหาของมาบตาพุดไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น หากการตัดสินวันนี้ออกมาเป็นผลบวกจริงตามที่ตลาดฯคาดการณ์ ทางฝ่ายวิจัยก็ยังไม่รีบปรับประมาณการขึ้น เนื่องจากมองว่ากรณีปัญหาคดีมาบตาพุดนี้ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าที่ศาลจะมีคำตัดสินสุดท้าย และเชื่อว่าเรื่องคงจะยังไม่จบ หากการตัดสินออกมาเป็นบวกยกเลิกคำสั่งระงับโครงการลงทุน 76 โครงการ ก็เป็นผลแค่ชั่วคราว
ทั้งนี้ ทาง PTT ก็ได้มีการลงทุนในโครงการที่มาบตาพุดมูลค่าแสนกว่าล้านบาท หากมีการชะลอการลงทุนไปหรือระงับการลงทุนก็จะมีผลกระทบต่อแผนการดำเนินงานของ PTT
นอกจากนี้ ปีนี้(2552)PTT ยังต้องเจอแรงกดดันจากบริษัทลูกคือ PTTEP ที่มีปัญหาเรื่องแหล่งมอนทาร่าอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ทำให้กดดันกำไรของ PTT ด้วยเช่นกัน และทำให้ Sentiment ของหุ้น PTT ไม่ค่อยดีนัก อย่างไรก็ดี PTT ยังดีที่มีบริษัทลูกอื่น ๆ อีกหลายบริษัทที่มีการขยายกำลังการผลิต อย่างเช่น PTTCH ซึ่งก็ยังทำให้ PTT ได้รับผลดีไปด้วยได้
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิของ PTT ในปี 52 ไว้ที่ 60.0 พันล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 51.7 พันล้านบาท ส่วนปี 53 คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 75.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการขยายกำลังการผลิตของบริษัทลูก PTT