โบรกเกอร์ แนะ"ทยอยสะสม/ซื้อ"หุ้นบมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL) คาดรายได้และกำไรในงวดปี 52/53(สิ้นสุด ต.ค.53)เติบโตขึ้นจากงวดปีนี้ โดยมีแรงผลักดันจากปริมาณขายที่มีแนวโน้มเติบโตตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งน้ำตาลและเอทานอลทั้งในประเทศและโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทิศทางราคาน้ำตาลทรายโลกยังเป็นขาขึ้นเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ ขณะที่บริษัทจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงทางด้านค้าในกลุ่มอาเซียน(AFTA)ที่จะมีการลดภาษีนำเข้าน้ำตาลระหว่างกัน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย บล.กิมเอ็ง ทยอยสะสม 16.50 บล.กรุงศรีอยุธยา เก็งกำไร 15.00 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ อยู่ระหว่างประเมินคาดว่าจะอยู่ที่ 15-16 บล.ฟิลลิป ถือ 12.30
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา(AYS) กล่าวว่า AYS ยังไม่ปรับราคาเป้าหมายจาก 15.00 บาท แต่ก็มีโอกาสจะปรับเพิ่มขึ้น หลังมองว่ากำไรปี 52/53 ของ KSL ยังเติบโตก้าวกระโดดกว่า 41% จากการเติบโตในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะน้ำตาลที่คาดว่าปริมาณและราคาขายยังคงทรงตัวในระดับสูง รวมถึงธุรกิจเอทานอลที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัว
ขณะเดียวกันโรงงานน้ำตาลในลาวจะเริ่มมีรายได้เข้ามาใน 1Q53 ทำให้ผลขาดทุนทั้งปี(เฉพาะโรงงานในลาว)ลดเหลือเพียง 83 ล้านบาท(-64%YoY)
"มีโอกาสจะปรับราคาเป้าหมายขึ้น แต่ต้องรอหลัง Company Visit เพราะตอนนี้เรื่องข้อมูลเรื่องโรงงานน้ำตาลในลาว กัมพูชายังไม่นิ่ง ปรับตอนนี้อาจจะผิดพลาดสูง"นายสิทธิเดช กล่าว
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)มองว่า ทิศทางราคาน้ำตาลทรายขาวในตลาดโลกยังคงปรับขึ้นต่อ โดยสัญญาน้ำตาลทรายขาวส่งมอบ มี.ค.53 ปิดเพิ่มขึ้น 10.00 US$ มายัง 618.40 US$/ตัน จากความกังวลอุปทานตึงตัว เพราะปริมาณผลผลิตของบราซิลน้อยลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไป และอุปสงค์จากอินเดียยังแข็งแกร่ง โดยคาดว่าอินเดียต้องนำเข้าน้ำตาลในปี 52/53 จำนวนมาก จากปริมาณผลผลิตในประเทศตกต่ำ
นับเป็นข่าวดีกับ KSL โดยบริษัททำสัญญาซื้อขายน้ำตาลล่วงหน้าสำหรับปี 52/53 ในช่วงที่ราคาน้ำตาลปรับขึ้นไปกว่า 60%(จากกำลังการผลิตทั้งหมด 5 ล้านตันอ้อยต่อปี) ส่วนปริมาณขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20% ในปี 52/53 ตามอุปสงค์ที่สูงขึ้นและกำลังการผลิตของบริษัทที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ยังมีรายได้จากเอทานอลและโรงไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย คาดว่าราคาเอทานอลจะปรับขึ้นต่อในปี 53 เพราะราคาวัตถุดิบ คือ กากน้ำตาล(โมลาส)สูงขึ้นตามอุปทานที่ตึงตัว ทั้งนี้ ราคาโมลาสปัจจุบันปรับขึ้นเป็น 150 US$/ตัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 110-120 US$/ตัน
สำหรับไตรมาส 4/52 คาดว่าจะกำไรสุทธิของ KSL จะยังคงแข็งแกร่งและเติบโต QoQ เนื่องจากรายได้จากธุรกิจน้ำตาลและเอทานอลสูงขึ้น ราคาน้ำตาลทรายขาวปรับขึ้นเป็น 500-600 US$/ตัน หรือ +20%YoY ราคาเอทานอลสูงขึ้นเป็น 23-24 บาทต่อลิตร เป็นไปตามราคาวัตถุดิบโมลาสที่สูงขึ้น
โรงงานน้ำตาลที่ อ.บ่อพลอยจะ Test run เดือนม.ค.53 โดยขณะนี้การก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 80-90% แล้ว หลังโรงงานนี้เปิดดำเนินงานบริษัทจะมีกำลังการผลิตน้ำตาล 5 ล้านตันต่อปี ส่วนโรงงานเอทานอลจะมีกำลังการผลิต 2 แสนลิตรต่อวัน หลังโรงงานนี้แล้วเสร็จ KSL จะมีกำลังการผลิตเอทานอลรวม 3.5 แสนลิตรต่อวัน (ปัจจุบันผลิต 1.5 แสนลิตรต่อวัน)
โรงงานน้ำตาลในกัมพูชาและสปป.ลาวคาดว่าจะเริ่มทำรายได้ในปี 53 โดยในส่วนของกัมพูชาคาดว่าจะผลิตได้ 3 แสนตันอ้อย ส่วนที่สปป.ลาวเท่ากับ 8 หมื่นตันอ้อย
"แนะนำซื้อ โดยคาดว่ากำไรสุทธิในปี 53 จะเติบโต 20-25% ตามการขยายตัวของรายได้ และมี Positive upside หากราคาน้ำตาลทรายขาวและเอทานอลในตลาดโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง เราอยู่ระหว่างประเมินราคาตามพื้นฐานโดยคาดว่าจะอยู่ที่ 15-16 บาทต่อหุ้น ซึ่งมี Upside จากราคาปิด 14-21%"บทวิเคราะห์ระบุ
สำหรับประเด็นผลดีจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน(AFTA)นั้น ศูนย์วิจัยกรไทย ระบุว่า ข้อตกลง AFTA กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆรวมทั้งน้ำตาลลงเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่ 1 ม.ค.53 คาดว่าไทยจะได้รับผลดีจากการขยายการส่งออกน้ำตาลไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีจำนวนประชากรถึงกว่า 500 ล้านคน เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศในกลุ่มอาเซียนส่วนใหญ่จะผลิตน้ำตาลไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ
นางนารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์อาวุโส บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า เรื่องนี้ถ้าทุกประเทศยอมทำตามข้อตกลงก็คงจะดี เพราะตอนนี้อาจจะมีบางประเทศที่ยังมีกำหนดโควต้านำเข้าอยู่ แต่โดยรวมถือว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นผลดีต่อไทยที่จะได้รับผลดีจากการขยายการส่งออกน้ำตาลไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้น หลังจากที่ต้องเผชิญกำแพงภาษีเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม มองว่าปีหน้าภาพรวมน่าจะดีในเรื่องของราคาน้ำตาล และอีกส่วนหนึ่งมาจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตน้ำตาลของประเทศต่าง ๆ จะลดลงไปอีก เนื่องจากสภาพอากศ น่าจะยังเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ทิศทางราคาน้ำตาลยังเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ มองว่าในส่วนของประเทศไทยเอง ปีหน้ากำลังผลิตอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ขณะที่ประเทศอื่นๆ อาจจะผลิตน้อยลง จึงมีความเป็นไปได้ที่คำสั่งซื้อส่วนใหญ่อาจจะเข้ามาที่ประเทศไทยมากขึ้น และหากเปรียบเทียบเรื่องราคาเราดีกว่าอยู่แล้ว
"ถ้ามีการเปิดใช้ข้อตกลงทางภาษีดังกล่าวจริง จะให้ดีคืออย่างที่บอกว่าทุกประเทศต้องทำเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องมาดูรายละเอียดกันอีก แต่ถ้าถามว่าไทยมีความพร้อมที่เป็นรายแรกหรือไม่ที่จะทำการปรับลดภาษี เชื่อว่าทุกฝ่ายคงมีการเตรียมตัวอยู่แล้ว เพราะเป็นข้อตกลงที่เจรจากันมาค่อนข้างนานแล้ว"
สำหรับในส่วนของ KSL เอง ปี 53 ควรจะโตด้วยผลการดำเนินงานอยู่แล้วต่อให้ไม่มีเรื่อง AFTA เข้ามา ก็ต้องโตอยู่แล้ว เพราะราคาก็ค่อนข้างดี นอกจากนี้ปีหน้ามีกำลังผลิตโรงงานใหม่ที่ อ.บ่อพลอยด้วย เราประมาณการรายได้และกำไรน่าจะเติบโตขึ้นจากปีนี้ 29% และ 30% โดยประมาณ
"Sentiment ของ KSL ยังดี แต่จริงๆ แนะนำ"ถือ" ราคาเป้าหมาย 12.30 บาท เพราะมองว่าราคาหุ้นมีเทรดตามประเด็นที่เข้ามาแรงๆ ซึ่งเป็นปกติที่หุ้น KSL จะมาเป็นรอบๆ ตามข่าวที่เข้ามาในแต่ละช่วง เพราะในความเป็นจริงหุ้นตัวนี้ไม่ค่อยมีสภาพคล่องที่เยอะมาก แต่ถ้าเทียบกับผู้ปประกอบการต่างชาติ เช่น บราซิล อินเดีย เรื่อง P/E ของ KSL ต่ำกว่า"นางนารี กล่าว