ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 21 ธันวาคม 2554 - 27 ธันวาคม 2554
ภาคเหนือ
-ในช่วงวันที่ 21-23 ธ.ค. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 14-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-31 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 24-27 ธ.ค. อุณหภูมิจะลดลง 5-7 องศาเซลเซียส อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 3-8 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%
-ระยะนี้อากาศหนาวเย็น เกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเองอย่างเพียงพอ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
-สำหรับบริเวณเทือกเขาและยอดดอยอาจมีน้ำค้างแข็ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร
- ส่วนผู้ที่ปลูกพืชไร่และพืชผักหลังการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีควรระวังและป้องกันโรคราน้ำค้าง โดยคลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารป้องกันเชื้อรา
-ในช่วงที่สภาพอากาศแห้ง ชาวสวนผลไม้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยง ส่งผลต่อการแตกตาดอกของพืช
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
-ในช่วงวันที่ 21-22 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 15-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 23-27 ธ.ค. อุณหภูมิจะลดลง 5-7 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-14 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 5-10 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม.ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%
-ระยะนี้อากาศหนาวเย็น เกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเองให้เพียงพอและดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
- สำหรับบริเวณเทือกเขาและยอดภูในบางช่วงอาจมีน้ำค้างแข็ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร
- ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรทำแผงกำบังลมหนาว และเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือน รวมทั้งหมั่นสังเกตหากพบสัตว์ป่วยควรรีบแยกออกจากกลุ่มแล้วรีบรักษา เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่ไปยังตัวอื่นๆ
- อนึ่งผู้ที่จุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตนเองและสัตว์เลี้ยงควรดับให้สนิททุกครั้งหลังเลิกใช้งาน เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย
ภาคกลาง
-ในช่วงวันที่ 21-23 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 24-27 ธ.ค. อุณหภูมิจะลดลง 3-6 องศาเซลเซียส อากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 13-17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ระยะนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง
-สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรดูแลอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพราะจะทำให้สัตว์อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
-ส่วนพื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน เกษตรกรควรปลูกพืชที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อย เนื่องจากระยะต่อไปปริมาณฝนจะมีน้อย
-สำหรับสภาพอากาศที่แห้ง ทำให้น้ำระเหยได้มาก เกษตรกรจึงควรคลุมบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อรักษาความชื้นดิน
ภาคตะวันออก
- ในช่วงวันที่ 21-23 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 20-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 13-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 24-27 ธ.ค. อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส อากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 14-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์70-80%
- ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพของตนเองและสัตว์เลี้ยงให้แข็งแรง และให้ความอบอุ่นอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
- ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลสภาพน้ำอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วป้องกันสัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
- ในช่วงที่สภาพอากาศแห้ง ชาวสวนผลไม้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด ซึ่งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ต้นทรุดโทรม ส่งผลต่อการติดดอกออกผลของพืช
- เนื่องจากระยะต่อไปปริมาณฝนจะมีน้อย เกษตรกรควรวางแผนการใช้น้ำ ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรอย่างเพียงพอในช่วงแล้ง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
- ฝั่งตะวันออกในช่วงวันที่ 21-23 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป และมีฝนตกหนักบางแห่งส่วนมากตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 24-27 ธ.ค. ตั้งแต่จังหวัดชุมพรขึ้นมา มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-45 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-90%
- สำหรับทางตอนบนของภาคอากาศเย็น เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
- ในช่วงที่มีฝนตกหนักติดต่อกัน เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งเคยมีประวัติน้ำท่วม โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาค ควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่า ไหลหลาก
- ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลสภาพน้ำอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์น้ำปรับตัวไม่ทันจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
- อนึ่งในช่วงวันที่ 24-27 ธ.ค.54 คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงโดยมีคลื่นสูง 3-5 เมตร เกษตรกรที่อยู่บริเวณชายฝั่งควระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากคลื่นซัดฝั่ง สำหรับผู้ทำประมงชายฝั่ง ควรป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และ เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
- ฝั่งตะวันตกในช่วงวันที่ 21-23 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 24-27 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 75-90%
- สำหรับทางตอนบนของภาคอากาศเย็น เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
- ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลสภาพน้ำอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์น้ำปรับตัวไม่ทันจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74